อนุโมทนา สาธุๆๆ



"ทำบุญและถวายสังฆทาน"

สองวันที่แล้วมีโอกาสได้นั่งรถไฟไปเที่ยวแม่กลอง เดินเล่นตลาดแม่กลองและไม่ลืมที่จะซื้อของถวายสังฆทาน

เช้าวันนี้ (29 ก.ค. 2555) ผมและลูกค้าทั้งหมดสี่คนออกเดินทางเพื่อจะไปเที่ยวช่องเขาขาด แต่ระหว่างทางเราจะแวะวัดเพื่อทำบุญและถวายสังฆทาน ผมจำได้ว่าระหว่างทางก่อนถึงช่องเขาขาดมีวัดอยู่วัดหนึ่งจำชื่อวัดไม่ได้หรอก นี้คือวัดเป้าหมายที่จะถวายสังฆทานวันนี้

ความจริงลูกค้ามีโปรแกรมต้องตักบาตรพระตอนเช้าที่อัมพวาเมื่อสองวันที่แล้ว แต่ผมคิดว่าเราน่าจะทำอะไรที่มันมากกว่าการใส่บาตรพระอย่างเดียว ผมจึงวางแผนล่วงหน้าด้วยการซื้อเครื่องสังฆทานมาสามชุดพร้อมซองใส่เงินทำบุญมาสี่ซองจากตลาดแม่กลอง คิดว่าเราจะแวะวัดที่ไหนสักแห่งแถวๆที่พัก (บูติค ราฟ)

ที่บ้านอัมพวาก็มีการการใส่บาตรพระตอนเช้า แต่ทางโรงแรมจะไปนิมนต์พระมาเพื่อให้ลูกค้าได้มีโอกาสใส่บาตรตอนเช้า แต่ผมก็มองข้ามไปว่าเราน่าจะทำอะไรที่มันทำให้ฝรั่งเขารุ้สึกได้ว่า"นี้คือการทำบุญตามวิถีชาวพุทธ"

เช้าวันนี้ฝนตกพรำๆ หมอกกระจายเป็นหย่อมๆตามยอดเขา น้ำที่ท่วมท่าเรือปากแซงเมื่อวานก็ลดลงตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึน ยิ่งเดินทางออกจาที่พักคือบูติค ราฟเท่าไหร่หมอกตามขุนเขาก็เริ่มหนาตามากขึ้นเรื่อยๆ

รถตู้สีขาวเลี้ยวซ้ายเข้าไปจอดในวัด ฝนก็ยังตกลงมาไม่ขาดสาย

ผมเปิดประตูกระโดดลงจากรถ ขึ้นไปแจ้งให้หลวงพ่อที่อยู่ด้านบนทราบว่าจะมาถวายสังฆทาน ผมกลับมาเปิดประตูรถให้ลูกค้าลงและบอกว่า "ที่นี้แหละที่เราจะถวายสังฆทานกัน"

คนขับรถเปิดประตูหลังเพื่อนำเครื่องสังฆทานขึ้นไปไว้ด้านบนพร้อมเตรียมร่มให้ลูกค้า ผมเรียกลูกค้ามาด้านหลังรถพร้อมซองสี่ซอง หนึ่งในสี่ซองผมใส่เงินไป 100 บาท และก็บอกให้ลุกค้าร่วมทำบุญถวายพระโดยให้ใส่ซองละ 100 บาทเช่นกัน

หลวงพ่อเข้านั่งประจำที่หน้าพระประธานเป็นที่เรียบร้อย ผมและลูกค้าอีกสามคนลงนั่งข้างหน้าท่าน เมื่อทุกอย่างพร้อมพิธีถวายสังฆทานก็เริ่มต้นขึ้น





ผมบอกลูกค้าทั้งสามคนให้ประเคนสังฆทานให้หลวงพ่อ เริ่มประเคนที่ละคนโดยใช้มือสองมือในการประเคน หลังจากนั้งหลวงพ่อก็เริ่มสวดมนต์ ให้พรและปิดท้ายด้วยบทแผ่เมตตา ช่วงที่หลวงพ่อสวดบทแผ่เมตตาผมก็กรวดน้ำไปด้วย

หลังเสร็จสิ้นพิธีการทุกสิ่งอย่างก็ไม่ลืมที่จะถวายซองทำบุญที่เตรียมไว้และประเคนให้หลวงพ่อเช่นกัน

ทุกคนมีความสุข ได้บุญ ได้กุศลจากการถวายสังฆทานครั้งนี้อย่างถ้วนหน้า อีกทั้งได้มีโอกาสนั่งคุยกับหลวงพ่ออีกสักพักพร้อมถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

หลวงพ่อที่แท้คือ"เจ้าอาวาส วัดพุเตย" บวชมายี่สิบกว่าพรรษา แต่มาอยู่ที่วัดพุเตยสิบห้าพรรษาแล้ว ท่านรู้สึกดีใจและเป็นเกียรติมากที่ผมพาฝรั่งต่างชาติมาครั้งนี้ ท่านเป็นคนเอ่ยปากขอถ่ายรูปและจะเอามาใส่กรอบเพื่อแขวนโชว์ในวัดต่อไป หลวงพ่อเจ้าอาวาสใจดี ท่านชวนคุยโดยผมช่วยแปลเป็นภาษาอังกฤษให้ลูกค้าฟัง

หลวงพ่อเจ้าอาวาสบอกว่า "ถ้าไม่ติดว่าฝนตกและมีพิธีบวชในโบสถ์จะให้ไปถวายสังฆทานภายในโบสถ์"

ได้เวลาอันเหมาะสมผมและลูกค้าก็กราบลาท่านเพื่อจะไปช่องเขาขาดต่อไป ก่อนที่รถจะพ้นออกจากรั้ววัด "พระใหม่"ที่เพิ่งจะบวชสดๆร้อนๆก็เดินออกมาจากโบสถ์ รถจอดอีกครั้งเพื่อให้ลูกค้าถ่ายรูปพระใหม่ แต่ฝนตกและกล้องลูกค้าก็ซูมได้ไม่เยอะ ผมก็เลยอาสาขอกล้องเพื่อไปถ่ายให้ใกล้ๆ

ผมเดินผ่านญาติและพ่อแม่พี่น้องเพื่อจะขออนุญาตถ่ายรูปพระใหม่ ทุกคนน่ารักและใจดีมาก รวมทั้งพระใหม่หยุดเดินเพื่อให้ผมถ่ายรูป สาธุๆๆๆ

ถ่ายรูปเสร็จผมหันหลังเดินกลับมาที่รถ พ่อและแม่ของ"พระใหม่"ก็เดินเข้ามาหาลูกค้าเพื่อมอบดอกไม้จากการทำพิธีบวชให้สามกำ รวมทั้งผมด้วยก็เป็นสี่กำ

ปิดประตู ขับรถออกมาจากวัด ทุกคนมีความสุขสำหรับการเริ่มต้นดีๆในเช้าวันนี้....สาธุๆๆ

ผมเอง
29 ก.ค. 2555 เวลา 22.14 น.
บูติค ราฟ แควน้อย กาญจนบุรี

(ภาพ) ครอบครัวสุขสันต์ ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับท่านเจ้าอาวาส วัดพุเตย กาญจนบุรี

สังขละฯ...เราจะกลับมาใหม่!


ได้เวลาโลกมือลา"สังขละบุรี"หลังจากที่ห่างเหินมาน่าจะประมาณเจ็ดปี กลับมาคราวนี้ได้พักสองคืน ตัวเมืองสังขละฯและด่านเจดีย์สามองค์ยังคงเหมือนเดิม


เดาว่าต่อไปถ้าด่านเจดีย์สามองค์เปิดเป็นด่านผ่านแดนถาวรคือให้นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศข้ามพรมแดนไทยจากตรงด่านนี้แล้วไปผจญภัยต่อในเมืองพม่า เมืองชายแดนนี้คงจะคึกคักและพัฒนาอย่างกระฉูดอย่างแน่นอน เพราะในป้จจุบันด่านเจดีย์สามองค์อนุญาติให้"คนไทยเท่านั้น"ที่ข้ามไปเที่ยวได้ แต่จำกัดระยะไม่เพียง 3 ก.ม.จากด่านเท่านั้น


เมืองสังขละบุรี เมืองชายขอบด้านทิศตะวันตกของจ.กาญจนบุรี ตั้งอยู่บนระดับความสูงประมาณ 220 เมตรจากระดับน้ำทะเล อำเภอเล็กๆในขุนเขาแห่งนี้มีเพียงปั้มปตท.เพียงปั้มเดียวเท่านั้น (รวมทั้ง711ก็เช่นเดียวกัน) มีธนาคารไทยพาณิชย์และกรุงไทยตั้งอยู่กลางอำเภอ ใกล้ๆกับตลาดประจำอำเภอ เย็นๆตรงนี้ก็น่าจะเป็นสถานที่เดียวที่จะมาซื้อกับข้าว ซื้อขนมกินเล่น

เท่าที่สังเกตุสังขละฯเมื่อก่อนเป็นยังไงก็ยังคงเป็นอย่างนั้น แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย เป็นเมืองเล็กๆที่น่ารักและมีเสน่ห์มาก ฝรั่งแบกเป้ก็มาเที่ยวกันเยอะทีเดียว กระจายพักกันไปทั่วเมือง เป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์ดีแท้!! แต่ไม่แน่ใจว่าจะคงลักษณะอย่างนี้ได้อีกนานแค่นี้ ยิ่งตอนนี้กระแสเงินทุนหลั่งไหลเข้าประเทศพม่ามากเหลือเกิน

ช่างมันเถอะ!! มันเป็นเรืองของอนาคต เราห้ามและหยุดการเปลี่ยนแปลงหรือการพัฒนาไม่ได้


กลับมาปัจจุบันกันดีกว่า กิจกรรมท่องเที่ยวในเมืองเล็กๆแห่งนี้ นอกจากเดินสะพานแดงและสะพานมอญ(ตอนเช้าใส่บาตร ตกเย็นชมพระอาทิตย์ตกดิน) จิบกาแฟชมสะพาน เที่ยววัดหลวงพ่ออุตตมะ นั่งเรือชมสะพาน นั่งเรือชมวัดใต้น้ำ เที่ยวด่านเจดีย์สามองค์ ระหว่างทางมาสังขละฯก็มีน้ำตกเกริงกะเวีย (น้ำตกข้างถนน แต่สวยนะฮะ โดยเฉพาะช่วงหน้าฝน) จุดชมวิวแม่น้ำรันตีก่อนเข้าเมืองสังขละฯ และจุดชมวิวสะพานมอญและตัวเมือง (หลังจากที่ขับรถเพื่อจะไปเจดีย์พุทธคยาและวัดหลวงพ่ออุตตมะ)

คุณคิดว่าเมืองสังขละฯ...มีกิจกรรมอะไรให้ทำอีก???

แน่นอน!! มันต้องมีกิจกรรมผจญภัยเช่น  ล่องแพไม้ไผ่ ล่องแพยาง ชี่ช้าง เที่ยวถ้ำ เที่ยวน้ำตก ขับรถออฟโรด เดินป่าท่องไพร สรุปคือกิจกรรมผจญภัยมีให้เลือกเพียบ อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบและความถนัดของแต่ละบุคุคล

แต่ผมขอบอกเลยว่ากิจกรรมเดินป่าท่องไพรของที่นี้เขายังสดและดิบมาก แค่นั่งรถออฟโรดเที่ยวก็มันส์โคตรแล้วละ!

เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ได้กลับมาเยือนเมืองสังขละฯ และคิดว่าจะได้กลับมาอีกอย่างแน่นอน ยังมีกิจกรรมผจญภัยโหด มัน ฮา อีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำ ค่อยๆเก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อยๆเนอะ

ผมเอง
23 ก.ค. 2555 เวลา 23.13 น.

อัมพวาไม่ได้มีดีแค่ตลาดน้ำ...ร้านเจ๊ง้อโภชนาเขาก็แซ่บเว่อร์!

อาหารค่ำที่"ร้านง้อโภชนา" อัมพวา อร่อยและไม่แพงเว้ย!

หมึกทอดกระเทียม หอยหลอดผัดฉ่าและปูนิ่มผัดพริกไทยดำ...อร่อยทุกจาน! เสียดายเติมข้าวไม่ได้เพราะข้าวหมดร้าน...:-( 

ไปร้านแรก...เจ้าสำราญ ปิด 3 วัน เพราะพาพนักงานไปเที่ยว อดแดรก!
ไปร้านที่สอง...แพอัมพวา ปิดหนึ่งวัน ไปเที่ยวอีกเหมือนกัน
ไปร้านที่สาม...ครัวต้อย ไม่น่ากิน
ไปร้านสุดท้าย...ง้อโภชนา สอบถามพี่น้องที่อัมพวา แนะนำนำร้านนี้เลย ร้านเก่าแก่ ร้านแรกที่อัมพวา อายุกว่า 30 ปี

แพงสุดที่กินมื้อนี้คือปูนิ่ม 150 บาทเท่านั้น...อร่อยถูกใจ! (ผมกินปูนิ่มผัดพริกไทยดำ ส่วนลูกค้าปผมสั่งปูนิ่มผัดผงกะหรี่...อร่อยหมดจาน!)

แต่อย่าไปดึกมากนะฮะ อาจจะเสียใจได้เพราะร้านเขาปิด วันนั้นไปแค่ข้าวหมดเขาก็จะปิดร้านแว้ว!!
16 ก.ค. 2555

มาทองผาภูมิต้องมากินที่...ครัวแปดริ้ว

แนะนำร้าน"ครัวแปดริ้ว" ทองผาภูมิ

ที่ตั้ง : จากไทรโยคมุ่งหน้าทองผาภูมิ ก่อนข้ามสะพานแม่น้ำแควน้อย ร้านอยู่ตีนสะพานด้านขวามือ
เปิด : บริการทุกวัน 
ร้านอาหารสะอาด โปร่ง เห็นวิวสะพานข้ามแม่น้ำแควน้อย อาหารอร่อยราคาไม่แพง

ภาพ : แกงป่าปลาคัง ผัดฉ่าปลากรายและปลาคังทอดน้ำปลา(ข้าวเปล่าสี่จาน) อร่อยมว๊าก! ชอบปลาคังทอดน้ำปลามากที่สุด อิอิ อาหานไกด์ต้องแซ่บ

อาหารลูกค้า (5คน) : ทอดมันปลากราย ไก่ผัดขิง ผัดเห็ดฟางใส่กุ้ง กุ้งชุบแป้งทอดสองจาน (กุ้งตัวใหญ่มาก) ข้าวผัดรวมมิตร และเมนูพิเศษวันนี้คือปลาแร่ดทอดกระเทียม

ค่าเสียหายทั้งหมด 1,250 บาท (กินไม่กลัวจนเลยกรู...เน้นวิวสวยและอร่อย)



ผมเอง 19 ก.ค. 2555

เรื่องเล่าจากสังขละ (ภาคต่อ)





21 ก.ค. 2555

"เรื่องเล่าจากสังขละฯ ตอนการผจญภัยรอบบ่าย"

บ่ายสองโมงวันนี้หลังจากเสร็จกิจกรรมช่วงเช้าจากการล่องเรือ ขี่ช้างและล่องแพไม้ไผ่เสร็จเรียบร้อย ผมและลูกค้าก็เดินกลับมายังที่พักคือพนธ์นที รีสอร์ทเพื่อเริ่มกิจกรรมผจญยามบ่ายกันต่อ

เริ่มต้นได้ไม่ค่อยดีเพราะสายฝนโปรยปรายลงมาอย่างหนัก นึกว่าจะตกนานแต่เพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้นฝนที่ถล่มลงมาก็หยุดลงไปอย่างดื้อๆ

กิจกรรมยามบ่ายหลักๆคือ"เที่ยวถ้ำแก้วสวรรค์บันดาลและล่องแพยางแม่น้ำซองกาเลีย"

แต่ความสุดยอดคือพาพนะที่ใช้เดินทางมันเป็นรถกะบะยกสูงแบบขับเคลื่อนสี่ล้อ มีพี่ชัยเป็นลูกพี่ใหญ่และเป็นคนในพื้นที่ลุยป่า ภูเขาและน้ำในสังขละฯมานับไม่ถ้วน ใครสนใจโปรแกรมเดินป่าแบบลุยๆติดต่อได้เลย รับรองสุดยอดเว้ยเฮ้ย!

นอกจากพี่ชัยแล้วยังมีลูกน้องชาวกะเหรี่ยงเป็นลูกมืออีกสองคนมาช่วยในกิจกรรมบ่ายวันนี้

ออกจากที่พักขับรถกะบะขับเคลื่อนสี่ล้อมุ่งหน้าไปด่านเจดีย์สามองค์ ด้านหลังกะบะมีผมและทีมงานกะเหรี่ยงสองคน ส่วนด้านหน้าพ่อ แม่และลูกสามยัดกันเข้าไปนั่งข้างคนขับและเบาะหลัง

ใช้เวลาไม่นานรถกะบะก็เลี้ยวเข้ามาในป่ายางพารา ไม่มีป้ายบอกปากทางสะด้วยสิว่ากำลังจะไปไหน เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา วิ่งผ่านทางลูกรังที่เฉอะเฉะหลังจากฝนเพิ่งจะหยุดตก รถกะบะคนใหญ่ก็เข้ามาจอดภายในบริเวณวัด จุดที่ชาวคณะจะขึ้นไปลุยในถ้ำกัน

ข้อมูลเบื้องต้นสำหรับการลุยภายในถ้ำ พี่ชัยบอกว่า" เราจะมีการปีนป่ายเล็กน้อย มีมุด มีคลานและสุดท้ายก็จะโรยตัวจากเถาวัลย์ลงมาหรืออาจจะปีนต้นไม้ลงมาก็ได้" ไอยะ! ฟังแล้วแมร่งไม่ธรรมดาเว้ยเฮ้ย

พี่ชัยพูดต่อ "ภายในถ้ำเราก็จะไม่ได้ใช้ไฟฉายนะครับ แต่เราจะใช้เทียนและวางไว้เป็นจุดเพื่อความสวยงามในการถ่ายรูป ผมเคยลองใช้ไฟฉายมาแล้ว ผมว่าเทียนนี้แหละงามที่สุด" โอ้โฮ้! พี่ชัยแมร่งสุดยอดเลย

จากข้อมูลถ้ำเบื้องต้น ผมคงไม่สามารถเข้าไปลุยได้แน่ๆเพราะเข่าเดี้ยง ถ้าฝืนเข้าไปมีหวังเป็นภาระ กลับออกมาผมจะอาการหนักกว่าเก่า แต่ผมก็จะเดินไปส่งหน้าปากถ้ำ

โอ้ว!พระเจ้าช่วยกล้วยปิ้ง กล้วยทอด กล้วยย่าง การเดินทางไปปากถ้ำก็สุดยอดแล้ว ทางเดินลื่นเพราะเป็นดินเหนียวและฝนเพิ่งจะหยุดตก ต้องเดินลุยน้ำเล็กน้อย ปีนอีกนิดหน่อย ในที่สุดก็มาถึงปากถ้ำ แมร่งลืนสุดๆเลยวะ!

มาถึงปากถ้ำผมฝืนปีนเข้าไปดูในถ้ำนิดหน่อย โอ้วแม่เจ้า! ทีมงามกะเหรี่ยงสองคนที่ล่วงหน้าเข้ามาก่อนหลังจากจอดรถที่วัด ได้รีบเข้ามาทำการจุดเทียนวางไว้เป็นจุดๆสวยงามมาก แค่ตรงที่ผมยืนหินงอกหินย้อย รูปทรงภายในถ้ำแมร่งสวยวะ! ทางที่ต้องปีนขึ้นก็เป็นชั้นๆลดหลั่นกันเป็นลำดับเหมือนน้ำตก คือมองจากตรงนี้ไม่รู้เลยว่าด้านบนที่ต้องแหงนคอตั้งสามารถเข้าไปได้

แต่ทีมงามกะเหรี่ยงก็ส่งเสียงเป็นภาษากะเหรี่ยงมาให้พี่ชัยรับทราบ ข่าวร้ายคือภาระกิจปีน มุด โรยตัวถ้ำต้องหยุดลงนะจุดนี้ เพราะส่วนที่จะต้องมุดและคลานเข้าไปน้ำท่วมมิด ไม่สามารถจะผ่านเข้าไปได้นอกจาก"ต้องดำน้ำ" โอ้โฮ้! นี้แมร่งจะผจญภัยกันสุดๆเลยใช่ไหมเนี่ย ดำน้ำเที่ยวถ้ำเนี่ยนะ!

คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก เราทั้งหมดรวมทั้งทีมงาน 9 คน หันหลังกลับ! เพราะสภาวะไม่อำนวย

ช่วงที่จะต้องปีนกลับลงมาปากถ้ำ ทางแมร่งก็ลื่น มีแอ่งน้ำเต็มไปหมด ทุกคนผ่านไปได้ด้วยดี แต่ผมแมร่งเสือกลื่นล้มตกลงไปในแอ่งน้ำเล็กน้อย ดีนะที่ใช้มือขวาค้ำยันเอาไว้ ไม่งั้นเปียกไปครึงตัวแน่ๆ

ออกจากถ้ำเรามุ่งหน้าต่อไปยังจุดลงเรือยางเพื่อล่องแก่งแม่น้ำซองกาเรีย ลูกค้าสี่คนยกเว้นคุณแม่ เปลี่ยนใจมานั่งกะบะหลังคิดว่าคงอยากจะมันบ้างอะนะ จากถ้ำรถวิ่งย้อนขึ้นมาอีกเล็กน้อย แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามป้ายน้ำตกตะเคียนทอง จากทางราดยางสักพักรถก็เลี้ยวขวา สภาพถนนเปลี่ยนไปโดนสิ้นเชิงคือทางลูกรังสีแดง รถจอดทันทีเมื่อเลี้ยวมาถึงตรงนี้เพราะต้องการให้ลูกค้าย้ายไปนั่งด้านหน้าเนื่องจากมีกิ่งไม้มากอีกทั้งทางก็สุดโหด

ด้านหลังกะบะเหลือผม กะเหรี่ยงสองคนและลูกค้าผู้ชาย ทั้งหมดสี่คน ต้องขอบอกเลยว่านี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อและวิ่งในเส้นทางที่ โอ้วแม่เจ้า! ถ้าไม่ใช่รถขับเคลื่อนสี่ล้ออย่าหวังที่จะเข้ามาเลย เพราะทางลูกรัง ฝนตก ถนนลืน เป็นลุ่มเป็นบ่อ ร่องถนนลึกมว๊าก มีน้ำขังเป็นจุดๆ ถนนบางช่วงก็ลาดชัน แถมเป็นถนนลูกรังที่มีเพียงเลนเดียวเท่านั้น

เราทั้งสี่อยู่หลังกะบะ ผมกับลูกค้าอีกคนนั่งบนพื้นมือทั้งสองข้างจับตัวรถอย่างแน่น กะเหรียงสองคนยืนอยู่ด้านหลังต้องคอยหลบกิ่งไม้และทรงตัวให้ดีในจังหวะที่รถกระแทกแรงๆ นั่งเฉยๆตรูดแมร่งยังลอยจากพืนเลยอะ ทางสุดยอดมว๊ากกกกกกกก

นั่งกระเด้งหน้ากระเด้งหลังมาสักพักใหญ่ๆก็มาถึงจุดลงเรือยางล่องแก่ง ทีมงามกะเหรี่ยงสองคนนั่งประจำตำแหน่งหน้าและหลัง ลูกค้าอีกห้าคนนั่งตรงกลาง ส่วนกระผมนั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อมากับพี่ชัยเพื่อมารอรับยังจุดหมายปาลายทางของการล่องแก่ง

ทุกคนปลอดภัยจากการล่องแก่ง แต่ไม่รอดที่จะโดนทากเล่นงาน ลูกค้าเอาร่องรอยทากกัดมาให้ดูเป็นของขวัญจากป่าสังขละบุรี

ลูกค้าถามผมว่า"แพท เคยมาหรือเปล่า"
ผม "มาครั้งแรกฮะ มันเฮี้ยๆ"

ตามระเบียบก่อนจากกันผมก็ทิปทีมงานกะเหรี่ยงสองคนไปคนละ 200 บาท ไม่ได้อวดร่ำอวดรวยหรอกนะฮะ แต่เราเห็นจากการที่เขาทำงานและมีความตั้งใจในการทำงาน ความมีน้ำใจและความรู้สึกดีๆที่ผมสัมผัสได้ นี้เป็นเพียงน้ำใจเล็กๆน้อยๆที่ผมตอบแทนเขา ทั้งสองคนรับเงินไปพร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณ

แล้วผมจะกลับมาปีนถ้ำใหม่ให้ได้...เจอกันแน่นอน!!
ผมเอง

ปล.ทริปนี้พวกคุณหญิง คุณนาย ไกด์เทวดาและนางฟ้าทั้งหลาย รวมทั้งที่กลัวเลอะ กลัวแดด กลัวดำ กลัวสารพัด คงไม่เหมาะเพราะมันต้องลุยจริงๆ

บ้านนี้มีดี..บ้านห้วยอู่ล่อง

เจอคนดี คนน่ารักอีกแล้ว พี่ผู้หญิงที่บ้านห้วยอู่ล่องชื่อพี่เซน แต่คนงานที่นี้เรียกย่า นิสัยดี อัธยาสัยน่ารัก ได้เบอร์มือถือมาเรียบร้อยเพราะพี่แซนเน้นว่า"คราวหน้ามาโทรมาบอกพี่ก่อน" 

ด้วยความสงสัยว่าทำไมจึงมีแหนมเนืองและพรุ่งนี้เช้าจะมีไข่กะทะ พี่แซนเฉลยว่า"พื้นเพพี่เป็นคนเวียดนาม" คราวนี้คุยกันยาวเลย!

ผมวกถามพี่เขาเรื่องร้านอาหารในทองผาภูมิ ได้คำตอบว่า"ร้านครัวแปดริ้ว"ที่ไปกินมาวันนี้ดีที่สุดแล้ว!!:-) สำหรับพรุ่งนี้ที่ด่านเจดีย์สามองค์ถ้าจะซื้อพวกเครื่องประดับให้ต่อเยอะๆและห้ามซื้อกล้วยไม้เพราะอาจโดนจับได้!

ขอบคุณพี่แซน ณ บ้านห้วยอู่ล่องที่บริการอาหารผมอย่างดี ไม่คิดตังค์อีกต่างหาก(ปกติไม่ฟรีนะฮะ) การเดินทางมันก็สนุกอย่างนี้แหละ ได้เที่ยวที่ใหม่ๆ เจอะเจอผู้คนน่ารักมากมาย

บางครั้งการที่เรามาเจอคนดีๆ คนน่ารักทำให้เราลืมข้อเสียต่างๆของสถานที่ไปเลย


ผมเอง 
19 ก.ค. 2555
เวลา 20.41 น.

ท่าฉลอม..ในที่สุดฉันก็เจอเธอ!





ครั้งแรกในชีวิตสำหรับการเดินทางมา"มหาชัย" ปกติขับผ่านไปแล้วก็ผ่านมา แต่วันนี้มีเหตุที่ต้องพาลูกค้ามาเที่ยวมหาชัย...อันที่จริงโปรแกรมบริษัทก็ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าต้องพามาที่นี้ แต่เมื่อบริษัทเน้นย้ำมาว่าต้องพาลูกค้ามาข้ามเรือไปท่าฉลอม ไม่มีปัญหาจัดให้ได้เพราะเราก็มาเที่ยวเหมือนกัน

จากแยกมหาชัยเลี้ยวซ้ายแล้วก็ขับตรงมาอย่างเดียวจนสุดถนนก็จะเห็นท่าเรือข้ามฟาก ขับเบี่ยงขวานิดหน่อยก็จะมีที่จอดรถริมแม่น้ำพอดีเลย มองข้ามแม่กลองไปฝั่งตรงข้ามนั้นแหละคือท่าฉลอม ฟังเพลงมาก็นาน..ครั้งแรกในชีวิตที่มาสถานที่จริง

เรือข้ามฟากช่วงเช้าคึกคัก มาเร็วไปเร็วไม่ต้องรอนาน น้องคนขายตั๋วและตรวจตั๋วก็ญาติอองซานซูจีทั้งนั้น ราคาตั๋ว 3 บาท(สำหรับบุคลทุกสัญชาติ) ค่าตั๋ว 5 บาท(สำหรับมอเตอร์ไซด์) ถูกต้องแล้วครับท่าเรือนี้ขนคนและสิงห์มอเตอร์ไซด์

ผมกับลูกค้ากระโดดลงจากรถเพื่อนั่งเรือข้ามจาก"ท่ามหาชัย - ท่าฉลอม" ส่วนรถก็ขับอ้อมไปรอที่ท่าฉลอม ใช้เวลาไม่นานก็ย้ายกายหยายมาเหยียบท่าฉลอมในที่สุด...

เดินจากท่าฉลอมออกมาที่ริมถนน มีแก๊งค์สามล้อเข้ามาเกี้ยวพาราสีถามว่าจะนั่งสามล้อมเที่ยวอะเปล่า ...อืมม! ผมก็ไม่เคยมาอะนะ รู้แต่ว่าจากท่าฉลอมเดินเลี้ยวขวาก็ไปสถานีบ้านแหลมได้ แต่ไม่รู้สถานี่ตั้งว่ามันอยู่ตรงไหน ผมตัดสินใจเข้าไปคุยกับน้าสามล้อที่น่ารักทั้งหลาย พอจะทราบและได้ไอเดียว่าสามล้อทีนี้เขาจะพาไปไหนได้บ้าง ผมเลยว่าจ้างสามล้อ 6 คัน ให้ไปส่งที่"สถานีรถไฟบ้านแหลม"...ไม่เคยมาขอซื้อทางหน่อยเว้ย! อีกอย่างแขกก็ได้สนุกสนานด้วย หนทางไม่ไกลและราคาไม่แพง มากับป๋าสะอย่าง..ใช้เงินฟาดอย่างเดียว!

ในที่สุดก็มาถึงสถานีรถไฟบ้านแหลม - แม่กลอง

เก็บมาเล่าและแบ่งปันประสบการณ์...ครั้งต่อไปถ้ามีโอกาสกลับไปอีก รับรองสนุกกว่าเดิม!

(ภาพ) ท่ามหาชัย เรือข้ามฟาก เรือประมงกลางแม่น้ำแม่กลองและสถานีรถไฟบ้านแหลม

16 ก.ค. 2555 ณ อัมพวา
ผมเอง

"เรื่องเล่าจากสังขละฯ"



เช้านี้เริ่มต้นการออกผจญภัยเวลา 09.00 น. เป็นการผจญภัยและใช้เรือเป็นพาหนะหลัก ส่วนบริการทีใช้ก็เป็นของP.Guest House 

เริ่มออกผจญภัยเวลาเก้าโมงเช้าและกลับมาตอนประมาณบ่ายสอง กิจกรรมที่ทำวันนี้คือนั่งเรือหางยาวแบบไม่มีหลังคามาเที่ยวชมสะพานมอญ หลังจากนั้นซิ่งยาวเลยมาชมวัดใต้น้ำคือมันจมน้ำนะครับ หลังจากที่มีการสร้างเขื่อนเขาแหลมเมื่อปีค.ศ.1987 สามารถจอดเรือแล้วขึ้นไปไหว้พระในอุโบสถได้ วันนี้เป็นวันเสาร์ก็มีน้องๆสาวมอญตัวเล็กๆน่ารักมาหารายได้พิเศษด้วยการขายดอกไม้ธูปเทียน ชุดละสิบบาทเท่านั้น ใครมาเที่ยวที่นี้อย่าลืมอุดหนุดน้องๆเขานะครับ น่ารักกันทุกคนเลย

ผมถามเด็กๆว่า"มีทั้งหมดกี่คนนับสิคะ"
เด็กๆ ตอบกลับมาหลังจากยืนขนาบผมด้านซ้ายและขวา" 13 คนคะ"
ผม "งั้นซื้อของทุกคนเลยนะ จะได้คนละสิบบาทเท่าๆกัน"
เด็กๆ ก็พยายามรวบรวมดอกไม้ให้ผม 13 กำ แต่ผมบอกว่า "ไหว้พระแค่กำเดียวก็พอจ๊ะ"

เดินเข้ามาในโบสถ์ก็เจอสองมัคคุเทศก์น้อย ทั้งสองเป็นพี่น้องกันคนน้องเรียนป.1 คนพี่เรียนป.4 (ถ้าจำไม่ผิด) ทั้งสองมัคคุเทศก์น้อยก็ช่วยกันบรรยายและเล่าประวัติความเป็นมา ชี้ให้ดูตรงนั้น ตรงนี้ และกำชับว่าหลังจากไหว้พระเสร็จแล้วให้เดินออกทางด้านหลัง ไอยะ! น่ารักจริงๆ ขยันหารายได้พิเศษช่วงวันหยุด ก่อนจากกันผมขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกและให้เงินค่าขนมไป 100 บาท

ซิ่งเรือหางยาวกันต่อมาที่แม่น้ำรันตี วันนี้กิจกรรมหลักช่วงเช้าคือขี่ช้างและล่องแพไม้ไผ่กันที่นี้ ส่งลูกค้าขึ้นขี่ช้างเป็นที่เรียบร้อย เมื่อทุกอย่างพร้อม คณะช้างไทยก็เดินข้ามม่น้ำรันตีหายเข้าไปในป่า ส่วนผมก็รับข้าวผัดหนึ่งถุงซึงเป็นอาหารกลางวันจากทีมงานพีเกสต์เฮาส์ คือผมไม่ได้ไปด้วยนะฮะ เลือกที่จะนั่งรออยู่ที่หมู่บ้านควาญช้าง ชาวกะเหรี่ยงดีกว่า ความจริงผมสามารถนั่งเรือหางยาวตามคณะไปได้เพื่อถ่ายรูปตอนที่ลูกค้าล่องแพ

ประมาณบ่ายโมงนิดๆ แพก็ล่องกลับมายังหมู่บ้านควาญช้าง พวกเรากระโดดขึนเรือหางยาว...ซิ่งน้ำกระจายกลับมาที่พีเกสต์เฮาส์เหมือนเดิม เป็นอันเสร็จการผจยภัยช่วงเช้า

ก่อนจะจากกันผมก็ทิปเด็กแว้นส์ไป 100 บาท
ทิปลูกพี่ใหญ่ที่คุมเรืองช้างและแพไป 200 บาท ค่าใช้จ่ายส่วนนี้บริษัทไม่ค่อยนึกถึงหรอก แต่เราอยู่หน้างาน เห็นคนทำงานก็อดไม่ได้ที่จะให้สินน้ำใจตอบแทนเล็กๆน้อย

โอกาสหน้าเจอกันใหม่
ผมเอง