นิเวศน์ศิลป์ พิน สาเสาร์

......ข้าแบกความทุกข์ยากไว้บนบ่า
ขณะเหยียบโลกไว้ใต้ฝ่าเท้า...

นี้คือบทส่งท้ายท้ายสุดของหนังสือที่เพิ่งจะอ่านจบลงไปเมื่อตะกี้แบบสดๆร้อนๆ เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่อ่านสนุกและใช้เวลาไม่นาน ผมเริ่มอ่านเมื่อวันจันทร์ตอนหัวค่ำที่ผ่านมา ณ ตอนนี้เป็นคืนวันศุกร์( 15 - 19 มิย. ) ใช้เวลาห้าวันเท่านั้น คนอื่นอาจจะอ่านเร็วกว่านี้ อิอิ หนังสือเล่มนี้ผู้เขียนเคยไปออกรายการเจาะใจมาเมื่อเดือนมีนารม ปี2551 ผมซื้อมาตอนงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติเมื่อต้นปี โทษทีจำเดือนไม่ได้ ที่สำคัญคือในหนังสือมีลายเซ็นคนเขียนหนังสือด้วย ขอบอกเลยว่าเป็นครั้งแรกที่มีและได้ลายเซ็นนักเขียน....เท่ห์ว่ะ เนื้อเรื่องเป็นประสบการณ์จริงและตรงเปรี๊ยของผู้เขียนในการทำ อืม...ผมขอเรียกว่างานทดลอง "นิเวศน์ศิลป์ หรืิอ Eco - Art " เนื้อเรื่องและงานทั้งหมดเริ่มต้นที่แม่น้ำของบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ สิ้นสุดที่คอนพะเพ็ง ประเทศลาว โดยมีแม่น้ำของหรือโขงเป็นแก่นของการเดินทาง นั้นหมายความว่าการเดินทางทั้งหมดยึดแม่น้ำโขงเป็นหลักและมีแพ จักรยาน เรือพาย เรือโดยสาร เป็นพาหนะหลักในการเดินทาง สถานที่ที่สร้างงานศิลปะก็อยู่บริเวณริมแม่น้ำโขง ที่นอนก็หลากหลาย อาทิ เต็นท์ วัด หมู่บ้าน และที่ทำการทหารพราน เนื้อเรื่องนอกจากการโคตรผจญภัยแล้ว ยังได้เห็นวิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ ของคนสองฝั่งโขง แค่แม่น้ำคั่นแต่ช่างแตกต่างเหลือเกิน สิ่งที่ผมชอบนอกจากเรื่องราวที่่ถ่ายทอดได้สนุกแล้ว อีกอย่างคือบทกวีของตอนจบในแต่ละบทสวยงามและได้อารมณ์มาก นแกจากนี้ในหนังสือได้ถ่ายทอดให้เห็นความมีน้ำใจของคนลาวและไทยที่มอบให้ผู้เขียนระหว่างเดินทาง แต่ที่ประทับใจก็ตอนโดนตำรวจลาวจับที่แขวงไชยบุรีและโดนบังคับให้กลับประเทศไทย

อีกตอนที่มีเงินเหลือติดกระเป๋า 140 บาท !แต่ไม่มีเงินพอที่จะจ้างรถไปส่งที่สะพานมิตรภาพไทย - ลาว หนองคาย สุดท้ายพี่ลาวใจดีคิดเพียงสี่สิบบาทเท่านั้น จากราคาเริ่มต้น1,000 บาท !เป็นอันว่าได้ข้ามกลับมาฝั่งไทยและได้มานอนที่สถานีรถไฟหนองคายต่ออีกสองคืน!

แม่น้ำโขงกำลังมีการเปลี่ยนแปลง แต่ความคิด ความเชื่อบางอย่างของผู้คนริมฝั่งโขงยังคงเดิม...... คงเดิมอีกนานเท่าไหร่ไม่มีใครรู้เพราะระบบทุนนิยมกำลังคืบคลานเข้ามา

ผลงานชิ้นต่อไปของผู้เขียนที่ชื่อพิน สาเสาร์ คืองานนิเวศน์ศิลป์แม่น้ำยม
00.17 at home

ทดสอบ

ต้องไปอีกรอบ

วันนี้ตอนบ่ายเดินทางไปที่วัดสุวรรณประสิทธิ์อีกครั้งเพื่อยืานเอกสารการบวชและจะพูดคุยในรายละเอียดต่างๆ แต่พระอาจารย์ไม่อยู่เห็นหลวงพี่บอกว่าท่านไปปริวาสกรรม จะกลับมาอีกทีประมาณวันที่ 24 มิย. นั้นแหละค่อยไปคุยกับพระอาจารย์อีกที สำหรับวันบวชยังยืนยันเป็นวันที่ 4 กค. ตามเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
01.13 am.

การเปลี่ยนแปลง!

**เมื่อวานแดดดีทั้งวันเลย แต่พอตอนเย็นเท่านั้นแหละมืดฟ้ามัวดินมาเลย ฝนช่างเลือกเวลาดีจริงๆ เย็นๆ เลิกงาน อีกอย่างผมมีนัดตอนหกโมงเย็น ที่ร้านทรูค๊อฟฟี่ ข้าวสารด้วยอ่ะดิ แต่เอาเข้าจริงๆฝนตกไม่หนักเหมือนขู่แหะ อิอิ

**ข้าวสารไม่ได้ไปสักพักแล้ว เย็นวันศุกร์ด้วยคนข่อนข้างเย่อะทีเดียว ไทยฝรั่งเดืนกันเต็มไปหมดเลย ที่น่าสังเกตคือผัดไทอาหารยอดฮิตอีกอย่างที่ข้าวสารปรับราคาขึ้นจากเมื่อก่อน 15 บาท เป็น 25-40 บาท ว้าว!!! อีกอย่างเดียวนี้เขามีสปอนเซอร์แล้วด้วยเป็นสายการบินแอร์เอเชีย ไม่ธรรมดาจริงๆๆ

**หลังจากที่เจอน้องเจี๊ยบและลูกชาย อือ!เสียมารยาทอย่างแรงเพราะลืมถามชื่อ น่าขายหน้าจริงๆ ก้อแยกย้ายกันกลับบ้าน ผมขึ้นปอ.60 รวดเดียวถึงบ้าน การจราจรติดขัดนิดหน่อย ช่วงที่รถแล่นผ่านหน้ารามก็ทำให้นึกถึงภาพเก่าเมื่อสักสิบปีที่แล้ว ตอนทียังเป็นนักศึกษาราม บรรยากาศหน้ารามคึกคักเหมือนเดิม มีของให้เลือกซื้อเพียบ ห้างเวลโก้สมัยโน้นเปลี่ยนเป็นโรงหนัง ซอยราม43 ศูนย์รวมติวเตอร์ต่างๆ และร้านตัดผมปากซอยยังอยู่เหมือนเดิมแต่ไม่รู้เจ้าของเดิมหรือเปล่า ร้านสลัมบอยขายพวกเครื่องเขียน อุปกรณ์ซิลสกรีนก็ยังอยู่แต่เล๊กลง ร้านดังกิ้นโดนัทก่อนถึงซอยราม 53 เปลี่ยนเป็น7/11 ปั้มน้ำมันร้างกลายเป็นรามบาร์ซ่า ซอยมหาดไทยเคยมีผับเก๋ๆอยู่ร้านหนึ่งก็สาปสูญไปเรียบร้อย สรุปคือทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงก้าวไปข้างหน้าตลอด เราหมายถึงทุกคนต้องปรับตัวให้ทัน โลกทุนนิยมมือใครยาวสาวได้สาวเอา แต่ผมว่าเศรษฐกืจพอเพียงดีกว่า อย่าวิ่งตามเลย วิ่งในจังหวะของเราดีกว่า!

ปล.ที่บ้านตอนนี้ไฟดับ ไม่รู้เมื่อไหร่ไฟจะมา ร้อนอีกต่างหากด้วย ร้ำก้อยังไม่ได้อาบ เวรกรรม!
21.58 น.

เคยเจออย่างนี้ไหม!

*สำหรับคนที่ใช้บริการเรือคลองแสนเสบในการเดินทางไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม คงจะเคยสังเกตุว่ามีที่นั่งอยู่บางที่ๆคนไม่ค่อยอยากนั่ง แน่นอนรวมทั้งผมด้วยเพราะถ้านั่งตรงนั้นแล้วจะต้องทำการดึงผ้าใบขึ้นมาระหว่างการเดินทางเพื่อเป็นการป้องกันน้ำในคลองกระเด็นเข้ามาในตัวเรือ ซึ่งแน่นอนก็จะทำให้ผู้โดยสารเปียก จะเปียกมากน้อยก็แล้วแต่ความแรงของคลื่น ปัญหาก็คือบางคนที่นั่งตรงนั่นแล้วไม่ยอมดึงป้าใบขึ้นมา ต้องรอให้น้ำกระเด็นเข้ามาจนเปียกเสียก่อน ผมเรียกคนพวกว่าเห็นแก่ตัว ไม่มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นทุกวัน นั่งเรือคราวใดพบเห็นได้ตลอด ไม่รู้จะทำยังไงให้มีสำนึกต่อสาวนรวม ใครรู้ช่วยบอกที
*ในเรื่องเดียวกันแต่ย้ายจากน้ำเป็นบนฟ้า อิอิ รถไฟฟ่าบีทีเอสนั้นเอง ผมสังเกตุน่ะว่าจะมีคนบางประเภทพอขึ้นรถไฟได้แทนที่จะจับเสาในกรณีที่ห่วงไม่มีที่จับ เราก็จะจับราวเหล็กกัน แต่บางคนไม่อย่างนั่นน่ะสิ พี่แกยืนพิงสะงั้น แทบจะไม่มีที่เหลือให้คนอื่นจับ รถไฟก็แน่นแต่ทำเป็นไม่เห็น เหมือนคนอื่นๆเป็นอากาศ หรือไม่ก็คิดว่าเสานั้นเขามีเอาไว้ให้พิงคลายเมื่อย ถ้ารถไฟว่างก็ไม่มีปัญหา อืิอเราเรียกคนประเภทนี้ว่าอย่างไรดีและจะมีวิธีแก้ยังไง
* วันนี้เดินผ่านลานCTWเพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้าที่สยาม เผอิญบริเวณลานมีจัดนิทรรศการรูปถ่ายใต้น้ำโดยช่างภาพมืออาชีพชาวฝรั่งเศษ( ถ้าจำไม่ผิด) รูปสวยมาก ได้เห็นสัตว์แปลกๆใต้น้ำด้วย เพลินดีเหมือนกัน มีโอกาส มีเวลา ก้อไปเดินเล่นได้น่ะ รูปสวยมากทีเดียว

บทเริ่มต้น


เช้าวันที่ 11 มิย. 2552 เขียนที่บ้าน

วันแรกของการเริ่มต้นยังนึกไม่ออกเลยว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี แต่โดยรวมน่าจะเป้นคล้ายสมุดบันทึกส่วนตัวที่ใครๆหรือต้องเรียกว่าเพื่อนๆเข้ามาอ่านได้จะดีกว่า

แต่ทำยังไงถึงจะทำให้เนื้อหาน่าสนในน่ะเหรอ ยังนึกไม่ออกเลย ระยะแรกคงต้องลองผิดลองถูกไปก่อนจะดีกว่าเน่อะ หลังจากนั้นค่อยปรับ ค่อยแก้ไป

ทำทุกอย่างให้เป้นปกติ ทำเพราะว่าอยากทำ อย่าไปคิดอะไรมากแล้วเจอกันใหม่น่ะ

09.19 น.