"จะถอยต้องมีกลยุทธ จะบุกต้องมียุทธวิธี"

"จะถอยต้องมีกลยุทธ จะบุกต้องมียุทธวิธี" สามก๊ก

กาเซี่ยง "...เมื่อโจโฉแพ้เรา ต้องถอยกลับไปนั้น ย่อมคาดหมายว่ากองทัพของเราจะยกตามไปตี โจโฉจึงต้องเตรียมป้องกัน และใ้หนายทหารฝีมือดีอยู่พิัทักษ์กองหลังอย่างเข้มแข๊ง ด้วยเหตุนี้ มาตราว่าทหารของเราจะมีฝีมือก็บุกทลายข้าศึกมิได้ ต้องพ่ายแพ้กลับมา เนื่องด้วยพระนครฮูโต๋กำลังมีภัย โจโฉเป็นกังวบอยู่ เร่งจะกลับให้เร็วที่สุด เมื่้อทำลายทัพที่เรายกตามไปแล้ว ก็หมดความระมัดระวัง รีบเคลื่อนทัพกลับไป มิได้ตระเตรียมทหารไว้ป้องกันท้ายขบวน เราตามตีอีกครั้งในตอนนี้ จึงได้ชัยชนะโดยง่าย"



ภาพประกอบ : กาเซี่ยง
กาเซี่ยง คือที่ปรึกษาคนสำคัญของเตียวสิ้ว เป็นที่ปรึกษาที่วางแผนไม่เคยผิดพลาด ( http://bit.ly/NRqFvX )





ขอบคุณหนังสือสามก๊ก โดยวรรณไว พัธโนทัย

เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย ของโจโฉและอ้วนเสี้ยว

"เก็บมาเล่า...เอามาฝากจากสามก๊ก"

กุยแก เป็นผู้สรุปข้อดี 10 ประการของโจโฉ และสรุปข้อด้อย 10 ประการของอ้วนเสี้ยวเปรียบเทียบให้โจโฉฟัง

"ข้อดีของโจโฉ 10 ประการ" (เอาไปปรับใช้ได้ ทันสมัยตลอดเวลา)
1.ไม่ถือเนื้อถือตัว ถืออย่างคนธรรมดาสามัญทั่วไป
2.เป็นคนประนีประนอม รู้จักรู้ใจคน
3.เป็นคนเอาจริงเอาจัง เด็ดขาด ทำให้งานเดินดีเสมอ
4.ภายนอกดูง่าย ภายในก็สะอาดเปิดเผย รู้จักใช้คนดีมีสติปัญญาสามารถ
5.เป็นคนตัดสินใจเด็ดขาดและถูกต้อง
6.เป็นคนที่ใครดีก็ชอบ ไม่เห็นแก่ชื่อแก่เสียงเป็นใหญ่
7.เลี้ยงคนซึ่งอยู่ใกล้หรือไกลเสมอหน้ากันสุดแต่ความสามารถ
8.ใครจะยุแหย่ปานใด ท่านก็เป็นตัวของท่านเอง ใคร่ครวญด้วยเหตุผลด้วยตัวเอง
9.ปฏิบัติตามกฏหมายและระเบียบข้อบังคับอย่างเคร่งครัด จึงปกครองคนได้เป็นอย่างดี
10.เป็นยอดนักรบ ถ้ามีกำลังน้อยก็สามารถเอาชนะข้าศึกผู้มีกำลังมากได้


(ภาพ)กุยแก
หมายเหตุ : กุยแก เป็นยอดกุนซือ เป็นนักวางแผนคนสำคัญ เป็นผู้สรุปข้อดี 10 ประการของโจโฉ และสรุปข้อด้อย 10 ประการของอ้วนเสี้ยวเปรียบเทียบให้โจโฉฟัง 

"ข้อเสีย 10 ประการของอ้วนเสี้ยว" (เจอเจ้านายอย่างนี้ หนีให้ห่างจะดีที่สุด)
1.เป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง มีพิธีรีตอง
2.เป็นคนชอบขัดคอคนและโอหัง
3.เป็นคนไม่เอาธุระ
4.เป็นคนหน้าซื่อใจคด ปากดีใจร้าย จะทำอะไรก็เห็นแก่ญาติพี่น้องของตัวเองเท่านั้น
5.เป็นคนมีอุบายมาก แต่ความเด็ดขาดมีน้อย
6.ชอบแต่คนมีหน้ามีตามีชื่อมีเสียง
7.เลี้ยงแต่คนใกล้ชิด ใครอยู่ห่างก็ไม่เอาใจใส่
8.ชอบฟังแต่คำยุให้รำตำให้รั่ว และเชื่อผิดทำผิด
9.แยกผิดแยกถูกไม่เป็น มักเอาผิดเป็นถูก เอาถูกเป็นผิดเคล้าคละปะปนกันไปหมด
10.ไม่รู้แจ้งในในกลศึกและพิขัยสงคราม

หมายเหตุ : มีเจ้านายอย่างอ้วนเสี้ยวคงไม่ไหวนะฮะ ไปหาเจ้านายแบบโจโฉดีกว่าเนอะ


(ภาพ) อ้วนเสี้ยว เป็นผู้นำก๊กที่มีกองกำลังใหญ่ที่สุด เข้มแข็งที่สุด แต่ท้ายสุดก็ต้องมาล่มสลายเพราะความไม่เอาไหนของตน 

ข้อมูลจากหนังสือสามก๊ก โดยวรรณไว พัธโนทัย



"โต๊ะนี้..วีไอพี"

"โต๊ะนี้วีไอพี" เป็นคำพูดที่น้องๆเด็กเสริฟที่ร้านLucky Beerเขาบอกเพื่อนอีกคน

หลังจากพักและดื่มเบียร์ช้างไปสองขวด ผมก็เรียกพนง.มาเก็บเงิน..บิลค่าดื่มวางตรงหน้า ผมเปิดดูค่าเสียหายที่สาดเบียร์ช้างเย็นๆดับร้อนลงคอไปสองขวด ทั้งหมด 175 บาท ไม่ม่
ปัญหา! ควักกระเป๋าจ่ายเงินไป เงินทอนกลับมาวางที่โต๊ะอย่างรวดเร็ว 25 บาท ส่วนนี้ไม่กลับคืนลงสู่กระเป๋าทิปน้องๆเขาไป

เพียงอึดใจเดียว น้องอีกคน(ที่จริงสามคนเลยแหละ)เดินมาแล้วถามว่า"พี่จ่ายตังค์ไปเหรอ"
ผม"ใช่จ๊ะ"
น้องพนง.เสริฟ"พี่ไม่ต้องจ่าย เพราเพี่เป็นโต๊ะวีไอพี พาลูกค้ามาให้ที่ร้าน เฮียเจ้าของร้านบอกไว้คราวที่แล้ว ผมจำพี่ได้"

ทันใดนั้นน้องพนง.เสริฟอีกสองคนมาสมทบ พร้อมกับบอกพนง.คนที่เก็บเงินไปว่า"พี่เขาโต๊ะวีไอพี ไม่ต้องเก็บเงิน"

น้องคนที่เดือดร้อนแทนผมเอาเงินทอนที่ผมวางไว้บนโต๊ะกลับไปที่แคสเชียร์พ้อมนำเงิน 200 บาทมาคืน พร้อมกล่าวคำขอโทษแทนเพื่อน

ผมหยิบเงินสองร้อยบาทคืนมา แต่ก็ยื่นเงิน100บาทคืนไป...ทิปน้องๆตามระเบียบ

ผมประทับใจในความกระตือรือร้นของน้องๆ...เงินไม่ใช่ปัญหา! อีกทั้งน่าจะเป็นความโชคดีที่คราวที่แล้วผมพาลูกค้ามาทานอาหารเที่ยงที่นี้ เฮียและเจ๊เจ้าของร้านอยู่พอดี เรียกผมเข้าไปคุย..ทำให้เด็กๆที่ร้านจำได้

จำไว้มาที่นึ้"โต๊ะผมวีไอพี"....See you again next time:-P





วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ.2555


ถนนข้าวสาร กรุงเทพ..เมืองฟ้าอมร






"ข้าวเหนียวกับหมูปิ้ง"

เดินจากร้านกาแฟซ.ละลายทรัพย์ฝั่งถนนนราธิวาสเพื่อเสาะแสวงหาหมูปิ้งให้"เธอ" ฝนตกหนัก ลมแรง ฉันก็ไม่หวั่น แม้นร่างกายจะเปียกปอนเพราะสายลมและสายฝนปะทะโดนร่างกายอย่างต่อเนื่อง

ในที่สุด สิ่งที่เราแสวงหาก็ตั้งตระหง่านอยู่ต
รงหน้า เป็นร้านรถเข็นเล็กๆที่ยังคงไม่ขยับเขยื่อนไปไหน แม่ค้ายังคงขายท่ามกลางสายฝนและสายลมที่สาดซัดเข้ามา!

ผมพาร่างกายที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยสายฝนและหมูปิ้งสามไม้พร้อมข้าวเหนียวหนึ่งห่อ มานั่งรอ"เธอ"อยู่ใต้ตึก รอเวลาว่าเมื่อไหร่"เธอ"คนนั้นจะลงจากสวรรค์ชี้น22มาสู่พื้นดินเบื้องล่าง

สิ่งแรกที่ผมจะทำเมื่อพบ"เธอ"คือยื่นหมูปิ้งกลิ่นหอมเย้ายวนใจกับข้าวเหนียวอุ่นๆให้กับ"เธอ"คนนั้น! แม้นร่างกายจะเปียกปอน แต่ผมก็เดินโอบกอดหมู่ปิ้งไว้้เอาไว้แนบชิดกับลำตัว หวังว่าความอุ่นจากร่างกายคงทำให้หมูปิ้งสามไม้นี้มีรสชาดอร่อยเพิ่มขึ้น...เพราะมันผสม"รสรักและห่วงใย"นั้นเอง:-P

17.55 น.
15 สิงหาคม พ.ศ.2555
กรุงเทพ..เมืองฟ้าอมร

เก็บมาเล่า..สอยมาฝาก ตอนจิ้มก้อง

เก็บมาเล่า..สอยมาฝาก ตอนจิ้มก้อง

สมัยสุโขทัย
ได้ส่งคณะฑูตพร้อมของพื้นเมืองถวายเป็นกำนัลแก่จักรพรรดิราชวงศ์หยวนในจีน รวม 14 ครั้ง ระหว่างปีค.ศ.1292 - 1322 (30ปี)
ส่วนจีนสมัยราชวงศ์หยวนส่งฑูตมายังสุโขทัย 4 ครั้ง แต่มาถึงเพียง 3 ครั้ง

สมัยอยุธยา
หลังจากสมัยพระบรมราชาธิราชที่ 1 ส่งคณะฑูตไปเจริญสัมพันธไมตรีเพื่อค้าขายกับจีน ประมาณ 130 ครั้ง ในระยะเวลาเกือบ 400 ปี ระหว่างปีค.ศ.1371-1766
ส่วนจีนในสมัยราชวงศ์หมิงและชิงส่งฑูตมาอยุธยา ประมาณ 17 ครั้ง
ปล.นายพลเรือเจิ้งเหอ แวะกรุงศรีอยุธยาในปีค.ศ. 1408

สมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์สี่รัชกาลแรก
ไทยส่งฑูตไปจีนรวม 56 ครั้ง จนถึงปีค.ศ.1953

การค้าสำเภาระหว่างไทยกับจีน สร้างความมั่งคั่งให้กับกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นอย่างมาก ผลกำไรที่ได้ทำให้ไทยมีเงินทุนเพียงพอในการสร้างบ้านเมืองเพื่อทำสงครามต่อต้านการรุกรานของพม่าและเพื่อการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมและทำนุบำรุงพุทธศาสนา

"ระบบบรรณาการ"(Tribute) หรือจิ้นก้อง หรือจิ้มก้อง เป็นประเพณีสัมพันธไมตรีของจีนกับประเทศอื่นๆในสมัยโบราณ เพราะจีนมีความเชื่อมาช้านานตามอิทธิพลทางความคิดของลัทธิขงจื้อว่า "จีนเป็นอาณาจักรกลาง (จงกั้ว หรือ Middle kingdom) เป็นศูนย์กลางอำนาจและอารยธรรมของโลก เนื่องจากมีความเจริญมาช้านาา ดังนั้นจีนจึงมองประเทศอื่นที่อยู่โดยรอบว่าด้อยกว่า และจะต้องยอมสวามิภักดิ์กับจีน โดยการส่งเครื่องบรรณาการแก่จักรพรรดิจีนตามกำหนด ส่วนจีนซึ่งเป็นประเทศที่ใหญ่กว่าและเจริญกว่าจะให้ความช่วยเหลือคุ้มครองประเทศเล็กๆเหล่านี้ อีกทั้งยังให้ประโยชน์ ทั้งทางการเมือง โดยยอมรับฐานะของกษัตริย์ และทางเศรษฐกิจ โดยอนุญาตให้ค้าขายได้อย่างเสรี"

อย่างไรก็ดี ผู้นำของไทยมิได้ยอมรับตามคติของจีน ไทยมิได้หวาดกลัวว่าจีนจะคุกคาม เนื่องจากจีนอยู่ห่างไกลและไม่เคยคุกคามความมั่นคงของไทยเลย ไทยส่งคณะฑูตพร้อมด้วยพระราชสาส์นและของกำนัลหรือเครื่องบรรณาการก็เพื่อขอความสะดวกในการค้าขาย พระราชสาส์นของกษัตริย์ก็เป็นการแสดงสันถวไมตรี มิได้อ่อนน้อมยอมเป็นเมืองขึ้น ส่วนเครื่องบรรณาการที่ส่งไปด้วยก็เพื่อแสดงไมตรีจิตร และเพื่อเป็นไปตามความต้องการของจีนตามประเพณีจีน

"ระบบบรรณาการเพื่อการค้า" ได้ลดความสำคัญและประโยชน์ลง ในปลายรัชกาลที่4 ไทยทำการค้ากับตะวันตกมากขึ้นหลังจากสนธิสัญญาเบาว์ริงกับอังกฤษในปีค.ศ.1855 ในขณะที่กำไรจากการค้าสำเภาจีนลดลงตามลำดับ ทั้งนี้เพราะความไม่ปลอดภัยในการเดินทาง เนื่องจากจักรพรรดิราชวงศ์ชิงระยะหลังอ่อนแอ อีกทั้งเผชิญกับปัญหาการต่อต้านจากภายในและการท้าทายคุกคามจากภายนอก

ปีค.ศ. 1853 เป็นปีสุดท้ายของการส่งบรรณาการเพื่อการค้า นับเป็นการสิ้นสุดความสัมพันธุ์ระหว่างไทยกับจีนในสมัยโบราณภายใต้ระบบ"บรรณาการเพื่อการค้า"  สาเหตุที่ยุติเพราะรัชกาลที่4 ไม่ประสงค์จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่ประเทศที่ติดต่อกับไทย อีกทั้งประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ไทยได้รับก็ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน เนื่องจากความไม่ปลอดภัยจากการเดินทาง


ขอบคุณ
หนังสือ "35ปี ความสัมพันธ์ทางการฑูต ไทย-จีน"
เขียนโดย จุลชีพ ขินวรรโณ
สำนักพิมพ์ OPENBOOKS
พิมพ์ครั้งที่ 1 กันยายน 2553


เก็บมาเล่า..สอยมาฝาก


เก็บมาเล่า..สอยมาฝาก ตอนส่วนหนึ่งจาก"35ปี ความสัมพันธ์ทางการฑูต ไทย-จีน"

"พระบรมวงศานุวงศ์กับความสัมพันธ์ไทย-จีน"

1.พระเจ้าอยู่หัวและพระราชินี เสด็จเยือนจีนอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 16 -31 ตุลาคม พ.ศ.2543

2.สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จเยือนจีนอย่างเป็นทางการ 4 ครั้ง คือปีพ.ศ. 2530 , 2531, 2535 และ2541

3.สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จเยือนจีนแล้ว 32 ครั้ง และบางปีเสด็จเยือนมากกว่าหนึ่งครั้งคือ ปีพ.ศ.2524 2533 2534 2535 2537 2538 2539 2540 2542 2543 2544 2545 2546 2547 2548 2549 2552 และ2553

4.สมเด็จฯเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ฯ เสด็จเยือนจีน 12 ครั้ง นอกจากเสด็จเยี่ยมชมความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของจีนแล้ว ยังได้ทรงเครื่องดนตรีจีน"กู่เจิง"ในการแสดงดนตรีหลายครั้ง

5.สมเด็จฯเจ้ากัลยานิวัฒนาฯ ได้เสด็จเยือนจีน 7 ครั้ง

สมเด็จฯพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงเป็นที่รู้จักในพระนามจีนว่า"ซือหลินทงกงจู่" แปลว่า "เจ้าหญิงแห่งบทกวีและหยกงามผู้ปราดเปรื่อง" เป็นราชวงศ์จากมิตรประเทศของจีนพระองค์แรกที่เสด็จเยือนครบทุกมณฑลของจีน

พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือเกี่ยวกับจีน 11 เ
ล่ม นอกจากนี้ยังทรงพระราชนิพนธ์แปลบทกวีจีน แปลนิยายจีนขนาดกลางอีก 2 เล่มคือผีเืสือและเมฆหินน้ำไหล

พระราชนิพนธ์ของสมเด็จฯพระเทพ เกี่ยวกับการเยือนจีนยังได้รับการแปลเป็นภาษาจีนอีก 3 เล่มคือ ย่ำแดนมังกร มุ่งไกลในรอยทราย และเกล็ดหิมะในสายหมอก

ปล.สถานเอกอัครราชฑูตจีน ประจำประเทศไทยจัดถวายพระอาจาย์ชาวจีนเพื่อจะได้ทรงศึกษาเกี่ยวกับอารยธรรมจีนอย่างลึกซึ้ง

..............................

ปีพ.ศ. 2531 กองทัพเรือได้สั่งต่อเรือฟรีเกต รุ่นเจียงหู จากบริษัท Hu Dong Shipyard ในเซี่ยงไฮ้ เป็นเรือลาดตระเวณ จำนวน 4 ลำ

จีนได้ส่งมองเรือฟรีเกตทั้ง 4 ลำให้กับกองทัพเรือไทยในช่วงปี พ.ศ.2534 - 2535 และถูกนำเข้าประจำการในชื่อ "เรือหลวงเจ้า
พระยา เรือหลวงบางปะกง เรือหลวงกระบุรี และเรือหลวงสายบุรี"

ต่อมาในปี พ.ศ.2533 กองทัพเรือไทยได้สั่งต่อเรือฟรีเกตจากจีนเพิ่มอีก 2 ลำ คือเรือหลวงนเรศวรและเรือหลวงตากสิน

ในเดือนธันวาคม พ.ศ.2545 ได้สั่งต่อเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง จำนวน 2 ลำ จากบริษัท China Shipbuilding โดยจีนส่งมอบเรือลำแรกคือเรือหลวงปัตตานี ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2548 และลำที่สองคือเรือหลวงนราธิวาส ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2549

ขอบคุณ
หนังสือ "35ปี ความสัมพันธ์ทางการฑูต ไทย-จีน"
เขียนโดย จุลชีพ ขินวรรโณ
สำนักพิมพ์ OPENBOOKS
พิมพ์ครั้งที่ 1 กันยายน 2553

เก็บมาเล่า..สอยมาฝาก"ความสัมพันธ์ไทย-จีน"


เก็บมาเล่า..สอยมาฝาก"ความสัมพันธ์ไทย-จีน"....การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศ

1.ความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียต
ตีความอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ที่ต่างกันและผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ทั้งสองประเทศจึงแตกแยกกันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503

2.การปรับความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา
"การฑูตปิงปอง" จีนเริ่มติดต่อโดยการเชิญทีมปิงปองสหรัฐอเมริกาไปร่วมแข่งขันในจีน และสหรัฐสนองตอบด้วยการส่งทีมปิงปองไปจีนในปีพ.ศ. 2514 นำไปสู่การเยือนจีนอย่างลับๆของ ดร.เฮนรี คิสซิงเจอร์ ที่ปรึกษาความมั่นคงของประธานาธิบดีนิกสัน ในเดือนกรกฏาคม พ.ศ.2514

ประธานาธิบดีนิกสันเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนและออกแถลการณ์ร่วม ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515 "ปรับความสัมพันธ์เข้าสู่ปรกติ"



3.การเข้าเป็นสมาชิกของสหประชาชาติของจีน
ผู้แทนของจีนเข้าไปแทนทีไต้หวันในองค์การสหประชาชาติ เดือนตุลาคม พ.ศ. 2514

4.อิทธิพลที่ลดลงของอเมริกาในเอชียตะวันออกเฉียงใต้ เปลี่ยนไปสู่ภูมิภาคอื่น เช่นตะวันออกกลางและยุโรปตะวันตก

สหรัฐอเมริกาเป็นมหาอำนาจที่มีแสนยานุภาพและอิทธิพลมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

สหรัฐอเมริกาสนับสนุน"รัฐบาลเวียดนาม"ในช่วงปีพ.ศ.2503 - 2513 เพื่อต่อต้าน"เวียดนามเหนือและคอมมิวนิสต์เวียดกง"

สหรัฐอเมริกาเริ่มเจรจากับ"เวียดนามเหนือ"เพื่อยุติสงคราม หลังการเจรจาสันติภาพที่กรุงปารีสในปี พ.ศ.2516 ระหว่าง"นายเฮนรี คิสซิงเจอร์ กับนายเล ดิ๊กโท จากเวียดนามเหนือ" สหรัฐฯก็เริ่มถอนทหารออกจากเวียดนามใต้

พ.ศ.2518 เวียดนามเหนือยึดเวียดนามใต้

6.ชัยชนะของฝ่ายคอมมิวนิสต์ในอินโดจีน
เวียดนามเหนือและเวียดกง สามารถยึดเวียดนามใต้ได้สำเร็จเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518 และรวมเวียดนามเหนือและใต้ให้เป็นประเทศเดียวภายใต้การปกครองแบบคอมมิวนิสต์ในปีต่อมา

เขมรคอมมิวนิสต์ในกัมพูชายึดอำนาจจาก"รัฐบาลลอนนอล" และสถาปนาประเทศโดยใช้นามว่า "กัมพูชาประชาธิปไตย" เมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ.2518

ขบวนการปะเทดลาวสามารถกุมอำนาจโดยสมบูรณ์ในลาว เปลี่ยน"ราชอาณาจักรลาว" เป็น "สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว" ซึ่งปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2518

7.การขยายความร่วมมือของกลุ่มอาเซียน
พ.อ.(พิเศษ) ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการต่างประเทศของไทย ร่วมกับรมต.ต่างประเทศของมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ร่วมมือกันก่อตั้ง "สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือสมาคมอาเซียน" ในวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2510 

ขอบคุณข้อมูลจาก
หนังสือ"35ปี ความสัมพันธ์ไทย-จีน"

ผลประโยชน์ต่างตอบแทน

สวัสดีข้าวสาร...Hello KhoaSan!
บ่ายวันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม 2555 เวลาประมาณเกือบบ่ายสามโมง บรรยากาศคึกคัก ฝรั่งนานาชาติ หลายสายพันธุ์

เที่ยงวันนี้แวะไปทานอาหารที่ร้าน Lucky Beer ตรงข้ามข้าวสารเซ็นเตอร์ เจอเจ้าของร้านโดยบังเอิญ เจ้าของดีใจที่เราพาลูกค้ามาให้ สั่งเด็กดูแลเราเป็นอย่างดี..ผมก็สาดเบียร์ดับกระหายไปหนึ่งขวด ตามด้วยกล้วยปั่นอีกแก้ว ไม่มีอาหารลงท้องเลย ฮาๆ สุดท้ายก็ทิปเด็กไป100บาท 



สมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย..win-win situation

ปล.เด็กเสริฟที่ร้านบางส่วนเป็นเขมรแต่พูดไทยได้ ผมก็เลยถามเรืองราคาค่าโดยสาร"ข้าวสาร-อรัญประเทศ-เสียมเรียบ" ได้ราคามาคร่าว 350 บาท น่าสนเนอะ..จ่ายแค่นี้ก็ถึงอังกอร์แล้ว!

"รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม"...อาสาฬหบูชา


วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555 
"รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม"

หลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ พระองค์ก็ทรงเดินทางมาโปรดเหล่าปัญจวัคคีีย์ทั้งห้าด้วยการแสดงธรรมบท "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แต่มีเพียงโกณทัญญะเพียงผู้เดียวที่ดวงตาเห็นธรรม จึงทรงบวชให้เป็นพระภิกษุรูปแรกในพุทธศาสนาและเป็นวันที่ครบองค์สามคือ "พระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์"...15 ค่ำ เดือน 8 อาสาฬหบูชา



ประมาณอีกหนึ่งเดือนถัดมา (แรม 5 ค่ำ เดือน 9) ทรงแสดงธรรมและทำให้ปัญจวัคคีย์ทั้งห้าบรรลุอรหันต์คือบท "อนัตตลักขณสูตร" ทำให้วันนั้นมีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก 6 องค์ คือพระพุทธเจ้าและปัญจวัคคีย์ทั้ง5

บท"ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" มีเนื้อหาเกี่ยวกับสิ่งที่บรรพชิตหรือพระไม่ควรเสพ 2 อย่างคือหมกหมุ่นในกามและการทรมานตนให้ลำบาก ทรงตรัสเรืองทางสายกลาง...นั้นคืออริยมรรคมีองค์ 8 และปิดท้ายด้วย"อริยสัจ 4" นั้นเอง

ส่วนบท "อนัตตลักขณสูตร" ใจความย่อคือ ขันธ์ 5 คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วัญญาณ เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น

ขอให้ความสุข สวัสดี มีแก่ทุกท่านในวันสำคัญทางพุทธศาสนาที่กำลังจะมาถึง...

ขอบคุณข้อมูลจาก"หนังสือพุทธประวัติ นักธรรมชั้นตรี"