ป่าพงดงธรรม

บทคัดย่อโดย พระมงคลกิตติธาดา

ผู้ใดประทุษร้าย หาเรื่องใส่ความ คนเขาผู้บริสุทธิ์ ไม่มีความผิด จนต้องได้รับทุกข์ โทษทัณฑ์ ผุ้นั้นจะต้องถึงความพินาศ 10 ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งหมดคือ
1. เกิดทุกข์เวทนาเร่าร้อนอย่างร้ายแรง
2.ถึงความตาย
3.เกิดอาพาธอย่างหนัก
4.เป็นโรคประสาท
5.ถูกผู้ใหญ่เพิ่งโทษ ทำโทษ
6.ถูกใส่ความอย่างร้ายแรง
7.ญาติมิตรจะทอดทิ้งเขา
8.ทรัพย์สินที่มีอยู่จะพินาศฉิบหาย
9.ไฟไหม้บ้านเรือนของเขา
10.เมื่อเขาตาย ย่อมเข้าถึงนรก
" สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"

ด้วยความนับถือ
ปฏิรพ ทิพรัตน์ 14 ธันวาคม 2552 11.16 ที่บ้าน

เปิดจุดแข็ง-จุดอ่อนของคน 12 ราศี

เปิดจุดแข็ง-จุดอ่อนของคน 12 ราศี (แม่นมาก..ขอบอก)
ฟอร์เวิร์ดเมล์ฉบับนี้ พรรคพวกเพื่อนฝูงที่หลงไหลเรื่องโชค ดวงชะตาส่งมาให้ประจำ เช่นเดียวกับเมล์ฉบับนี้อ่านแล้วตรงใช้ได้ เลยแบ่งปันมาให้แฟนๆประชาชาติธุรกิจอ่านดู

ราศีมังกร (22 ธันวาคม - 19 มกราคม)
จุดเด่น 1. อ่านคนเก่ง มีลางสังหรณ์แม่นยำ 2. วางตัวดี ยากที่ใครอ่านออก 3. มีอารมณ์ขัน มีวาทศิลป์ 4. มีความนอบน้อมถ่อมตน เคารพผู้อาวุโส 5. มีความซื่อตรงและยุติธรรม 6. รอบคอบ ละเอียดอ่อน 7. ใจบุญสุนทาน มีความรอบรู้ รักพ่อแม่พี่น้องมาก 8. เข้มแข็งแกร่งกล้า แม้จะเป็นคนอ่อนไหวง่าย
จุดด้อย 1. เจ็บปวดง่าย ยากจะลืมเลือนหรือให้อภัยคนที่ทำร้ายตน 2. ชอบผูกมิตรกับคนแต่ไม่ชอบคบใครจริงจัง 3. ชอบแสดงความสดใสร่าเริง ทั้งที่ในใจรู้สึกโดดเดี่ยว 4. ทนไม่ได้กับการวิพากษ์วิจารณ์หรือการดูถูก 5. ยึดมั่นในหน้าที่ จนไม่มีเวลาใช้ชีวิตแบบที่ปรารถนา 6. ใช้จ่ายเงินเก่ง 7. เชื่อว่าตนเองถูกเสมอ

ราศีกุมภ์ (20 มกราคม - 18 กุมภาพันธ์)
จุดเด่น 1. มีความเป็นเพื่อนให้ทุกคนอย่างไม่เลือก 2. ตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจน มีจุดยืนที่มั่นคง 3. ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ไม่เคยดับมอด 4. เด็ดเดี่ยว ไม่ท้อแท้ 5. กล้าได้กล้าเสีย แก้ปัญหาเก่ง ไม่ตื่นตกใจง่าย 6. รู้จักกาลเทศะ 7. สร้างจุดสนใจได้ดีเสมอ สร้างความประทับใจให้กับทุกคน 8. สุขุมเยือกเย็น ไม่เคยทำอะไรสะเพร่า
จุดด้อย 1. ต่อต้านกฎเกณฑ์อย่างจริงจัง จนบางครั้งก้าวร้าว 2. ไม่ลงให้ใครง่ายๆ 3. ไม่แสดงความคิดเห็นของตน แต่เก็บเกี่ยวความคิดของผู้อื่น 4. ชอบเสี่ยง ทั้งที่ไม่มีความมั่นใจเลย 5. ไม่ทนกับคนที่ตนคิดว่าไร้สาระ 6. ไม่ชอบแสดงออกทางอารมณ์ แม้แต่จะทำสิ่งที่ดีๆให้กับคนที่ตนรัก 7. คาดหวังสูงกับความเป็นคนมีเสน่ห์และเป็นที่ยอมรับของคนรอบข้าง 8. ชอบคิด ชอบวางแผน แต่ไม่ชอบลงมือทำ

ราศีมีน (19 กุมภาพันธ์ - 20 มีนาคม)
จุดเด่น 1. สามารถดึงเอาความเพ้อฝันมาใช้สร้างสรรค์ได้ 2. ปรับตัวได้ดี รู้จักรอมชอม แม้จะฝืนใจตนเองบ้าง 3. วางตัวดี รู้จักพูดจา เป็นผู้ฟังที่ดี 4. ยินดีให้ความร่วมมือกับผู้อื่นแม้จะไม่เห็นชอบด้วยก็ตาม 5. ไม่เรียกร้องความโดดเด่น ไม่ยึดติดว่าตนต้องเป็นผู้นำ 6. มีความอดทน มีศักยภาพที่ไขว้คว้าความสำเร็จ 7. ฉลาดและรู้จักใช้โอกาส
จุดด้อย 1. อารมณ์เปราะบาง 2. สับสนและเครียดได้สูงเพียงเพราะอารมณ์อ่อนไหวของตน 3. ไม่กล้าทำในสิ่งที่ลึกๆ ปรารถนา 4. ชอบหลอกตัวเองไม่ยอมรับความจริง 5. พอใจที่จะอยู่ในโลกแห่งจินตนาการมากกว่าโลก แห่งความจริง 6. ชอบหนีปัญหาของตนเอง ทั้งที่สามารถให้คำแนะนำในการแก้ปัญหาของผู้อื่นได้ 7. ไม่ชอบงานหนักหรือภาวะที่บังคับให้ต้องรับผิดชอบสูง 8. ขาดมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังกับชีวิต

ราศีเมษ (21 มีนาคม - 19 เมษายน)
จุดเด่น 1. มีกำลังใจเข้มแข็ง ไม่ท้อถอยง่ายๆ 2. มีน้ำใจไมตรีต่อคนรอบข้าง 3. รู้จักสร้างความสดชื่นรื่นรมย์อยู่เสมอ 4. เป็นผู้นำที่ดี มีความยุติธรรมและซื่อตรงสูง 5. มีความคิดริเริ่มรักอิสระ 6. วางจุดหมายของตัวเองไว้ทุกระยะ 7. สนใจใฝ่รู้ มุ่งไปที่ความสำเร็จมากกว่าเงิน 8. กล้าสู้ปัญหา ยอมรับความกดดันได้ดี
จุดด้อย 1. เชื่อแต่ความคิดและมุมมองของตนเอง 2. หลงตนเองต้องการเป็นหนึ่งเสมอ 3. อยากควบคุมความคิดคนอื่น เผด็จการพอตัว 4. บางครั้งก้าวร้าวและไม่ไตร่ตรองให้ลึกซึ้ง 5. อ่านคนไม่เก่ง แต่ชอบแข่งขันและชอบเอาชนะ 6. กลัวคนไม่ยอมรับ 7. เก็บเงินไม่เก่ง 8. ไม่ค่อยอดทนไม่ชอบอยู่กับความซ้ำซากเป็นเวลานาน

ราศีพฤษภ (20 เมษายน - 20 พฤษภาคม)
จุดเด่น 1. มีความบากบั่นสูง ยากที่จะยอมแพ้หรือเปลี่ยนแปลงจุดยืนของตนเอง 2. เป็นคนมีจิตใจดี ให้เกียรติให้ความสำคัญแก่คนอื่นเสมอ 3. เป็นคนจริงใจ รักมั่นคง รักครอบครัวรักเพื่อนอย่างแท้จริง 4. สามารถเก็บความรู้สึกเกรี้ยวกราดไว้ได้ ยากที่จะแสดงออกว่าไม่พอใจใคร 5. สามารถจัดการชีวิตให้มีระเบียบวินัยอย่างพอเหมาะ 6. เป็นคนมีเหตุผล พูดจริง ทำจริง และไม่ไขว่คว้าในสิ่งที่เกินตัว 7. มักไตร่ตรองให้รอบคอบอยู่เสมอ 8. เป็นคนสุภาพนอบน้อม ไม่ใจร้อนวู่วาม
จุดด้อย 1. คิดและทำอะไรช้า 2. อยากทำตามความคิดตนมากกว่าจะเปลี่ยนแปลงเพราะฟังคนอื่น 3. โกธรได้ง่าย แต่หายยาก 4. ยอมทุ่มเทเงินทองให้กับสิ่งที่ชอบ 5. เจ้าระเบียบ ไม่ชอบให้ใครยุ่งกับคนของตน 6. ไม่ชอบที่จะให้เพื่อนพ้อง พี่น้องชื่นชมใครไปกว่าตน

ราศีเมถุน (21 พฤษภาคม - 20 มิถุนายน)
จุดเด่น 1. มีความสดใสร่าเริง และมีอารมณ์ขันเสมอ 2. ช่างคิด ช่างสังเกต 3. ฉลาด คิดเร็วตัดสินใจเร็ว และไม่ชอบหยุดนิ่ง 4. ไหวพริบดี สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยต?เอง 5. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มีความสามารถในการวางแผน 6. รักการเรียนรู้ สนุกที่จะหาประสบการณ์ ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง 7. สามารถให้ความช่วยเหลือ คำปรึกษา คำแนะนำแก่คนรอบข้างได้ 8. เก็บความรู้สึกดี มักไม่แสดงความรู้สึกโกรธออกมา
จุดด้อย 1. ขาดความมุ่งมั่นและไม่อดทน ไม่มีความหนักแน่น 2. ไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของตน 3. เป็นคนเบื่อง่าย ขาดความจริงจังทั้งที่เป็นคนมีความทะยาน 4. แม้จะเป็นคนคิดการณ์ไกล แต่ไม่ชอบที่จะทำ มักวางมือเสียง่ายๆ 5. กล้าคิด กล้าทำแต่จริงๆ แล้วขาดความรอบครอบ 6. ไม่ตรงต่อเวลานัก ไม่ต้องการความรับผิดชอบสูง 7. ขาดพลังในการควบคุมตน

(21 มิถุนายน - 22 กรกฎาคม)
จุดเด่น 1. เป็นคนมีจิตใจดี ไม่เคยคิดเบียดเบียนทำร้ายใคร 2. สนใจเรื่องแสวงหาความมั่นคงในชีวิตความสำเร็จและความก้าวหน้ามากกว่าปล่อยชีวิตไปเรื่ื่อยๆ 3. รักบ้าน รักครอบครัว รักเพื่อน 4. มีความจำดี มีความรับผิดชอบสูง 5. ขยันขันแข็ง ไม่เหลวไหล 6. ยอมรับระบบระเบียบและกฎเกณฑ์ที่ถูกต้อง 7. ยืนหยัดตามลำพังได้ด้วยตัวของตัวเองหากต้องเผชิญกับปัญหา 8. มีความละเมียดละไม ใฝ่หาความสุนทรีในชีวิต
จุดด้อย 1. อ่อนไหวเกินไป เจ็บปวดง่าย เจ้าอารมณ์ 2. ขาดเหตุผลเข้มงวดกับคนใกล้ตัวเกินไป 3. ช่างหวาดระแวงและวิตกกังวลเกินควร 4. บางครั้งก้าวร้าวเพราะยึดมั่นในความคิดของตนเกินไป 5. ควบคุมอารมณ์ไม่ได ้ทั้งที่ไม่คิดจะทำร้ายใครเลย 6. ไม่มีความกล้าได้กล้าเสี่ยงเท่าใด 7. มักมองโลกในแง่ร้ายและตัดสินใจเรื่องราวในแง่ลบเสมอ

ราศีสิงห์ (23 กรกฎาคม - 22 สิงหาคม)
จุดเด่น 1. เป็นคนใจกว้างและมีน้ำใจ 2. ไม่ดึงตัวเองลงไปในความเครียด รู้จักสร้างความรื่นรมย์ให้ตนเองและคนรอบข้าง 3. เป็นคนที่มีระเบียบในการใช้ชีวิต 4. มีความทะเยอทะยานมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน 5. มีความมั่นอกมั่นใจและเป็นตัวเองสูง 6. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ กล้าพูดกล้าทำ กล้าเสี่ยง 7. ไม่หวาดกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง 8. ไม่ยอมล้มเหลวหรือพ่ายแพ้
จุดด้อย 1. บางครั้งทรนงจนไม่ยอมขอโทษ ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายผิด 2. ชอบให้ทุกคนยกย่อง เอาอกเอาใจ ต้องการการยอมรับมากไป 3. ให้ความสำคัญกับการเที่ยวเตร่มากกว่าการมุ่งมั่นเอาจริงเอาจัง 4. การเลือกคบคมมากเกินไปจนดูเหมือนดูถูกคนที่ต้อยต่ำกว่า 5. ชอบโอ้อวดและหน้าใหญ่ในบางครั้ง 6. วู่วามใจร้อนไร้เหตุผล 7. มักเห็นแก่ความต้องการของตนเป็นใหญ่เสมอ 8. กล้าคิดกล้าตัดสินใจแต่ขาดความรอบครอบ

ราศีกันย์ (23 สิงหาคม - 22 กันยายน)
จุดเด่น 1. ซื่อสัตย์ภักดี มีความตั้งใจจริงไม่เอาเปรียบใคร 2. มีความรับผิดชอบสูง ควา?ตั้งใจสูง 3. ยินดีช่วยเหลือผู้อื่น รู้จักออมเงิน 4. เก่งกาจในการติดต่อสื่อสาร การคิด การวิเคราะห์และการเก็บรายละเอียด 5. สามารถปรับตัวได้ไม่เบื่อหน่ายมีความอดทนสูง 6. เก่งด้านการจัดการ มีมาตรฐานในชีวิต 7. มีความทะเยอทะยานมีเป้าหมายในชีวิตชัดเจน
จุดด้อย 1. ไม่เชื่อถือและไม่วางใจใครเหมือนกับที่คนอื่นวางใจตน 2. เข้มงวด เจ้าระเบียบ จุกจิกจู้จี้ 3. มีความบากบั่นสูงแต่บางครั้งก็ดันทุรังโดยไร้เหตุผล 4. ด้วยความสามารถในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ ทำให้บ่อยคร ั้งช่างตำหนิติเตียนผู้คน 5. มักมีลับลมคมนัยเก็บความรู้สึกและความคิดที่แท้จริงของตนไว้ไม่แสดงออกมา 6. มักหวังสิ่งตอบแทนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง 7. เป็นคนเอาใจยาก

ราศีตุลย์ (23 กันยายน - 22 ตุลาคม)
จุดเด่น 1. มีมาตรฐานในการใช้ชีวิตของตนเอง รู้จักวางเป้าหมายและวางแผนอยุ่เสมอ 2. ดูแลชีวิตตนเองให้มีความสุขเสมอ 3. มีวาทศิลป์ มีคารมคมคาย รู้จักการเจรจาต่อรองได้เยี่ยม 4. ไม่ทำตัวขวางโลก 5. มีความเป็นผู้นำ 6. อ่อนโยน แคร์ความรู้สึกของผู้อื่น 7. มนุษย์พันธ์ดีเยี่ยม ค่อนข้างซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตนเอง
จุดด้อย 1. การตัดสินใจไม่เด็ดขาดเพราะมักเกิดการโลเล ไม่มั่นใจในตนเอง 2. ปรารถนาความเป็นหนึ่งมากจนเกินไป บางครั้งอาจผิดหวังและอิจฉาผู้อื่นได้ 3. บางครั้งสุขุมเกินไปจนดูเหมือนเป็นคนเฉื่อยช้า 4. ยึดถือความถูกต้องเป็นใหญ่จนไม่ประนีประนอมให้เกิดความยืดหยุ่นบาง 5. มีความอ่อนไหวน้อยใจมากพอๆ กับความยโส

ราศีพิจิก (23 ตุลาคม - 21 พฤศจิกายน)
จุดเด่น 1. เป็นคนมีระเบียบวินัยและวางมาตรฐานให้กับชีวิตของตนอย่างเคร่งครัด 2. ไม่ชอบให้ใครเข้ามาในโลกส่วนตัวของตนเอง 3. มีความทรงจำเยี่ยม มีสมาธิดี มีความรับผิดชอบ 4. มีน้ำใจไมตรี ยินดีช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ชอบการประจบ 5. เป็นคมมีไหวพริบ 6. รู้จักใช้เวลาอย่างเป็นประโยชน์ที่สุด 7. มีจุดยืนและเป้าหมายเด่นชัด
จุดด้อย 1. ค่อนข้างเข้มงวดกับตนเองและคนอื่นมากไป 2. บางครั้งดูหมิ่นผู้อื่นอยู่ในใจและยากที่จะไว้ใจใคร 3. โมโหร้าย หวาดระแวง ยากที่จะประนีประนอม 4. แม้จะไม่ทำร้ายใครก่อน แต่ก็มักจะตอบโต้ด้วยการใช้เล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงอย่างจริงจัง 5. สามารถที่จะลืมความอ่อนโยนกลายเป็นคนก้าวร้าวได้ถ้าไม่พอใจ

ราศีธนู (22 พฤศจิกายน - 21 ธันวาคม)
จุดเด่น 1. มีแนวคิดที่ชัดเจน มีหลักปรัชญาในการดูแลชีวิต 2. มีอารมณ์ขันเสมอ ไม่เครียดง่าย 3. ปรับตัวได้ดีมองการณ์ไกล 4. กล้าเผชิญกับสิ่งแปลกใหม่เสมอ 5. เข้าใจและเห็นใจผู้อื่น 6. ตรงไปตรงมาไม่มีเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิง
จุดด้อย 1. เก่งหลายอย่างแต่ไม่มุ่งมั่นซะอย่าง 2. มักเปรียบเทียบตนกับผู้อื่นจนท้อ 3. ตัดสินใจไม่เด็ดขาด ไม่เก่งเรื่องวางแผน 4. เก็บเงินไม่เก่ง 5.ทนไม่ได้หากถูกมองว่าไม่ชื่อตรง จะก้าวร้าวถ้าไม่ได้ดั่งใจ 6. บางครั้งใจแคบ ไม่รู้จักกาลเทศะ 7. ไว้ใจคนง่าย ชอบโต้คารม ชอบอวดความคิดตน 8. แม้ปัญญาดีแต่ขาดไหวพริบ

บันทึกฐานยุตโต: ครบรอบหนึ่งเดือนหลังจากสึก

๑๖ พ.ย. ๒๕๕๒
วันนี้ก็เป็นวันครบรอบหนึ่งเดือนหลังจากที่ลาสิกขาไปเมื่อ 16 ต.ค. ๒๕๕๒ เวลาประมาณห้าโมงครึ่งตอนเย็น ณ สำนักสงฆ์คลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร วันนี้ก็ว่างจากการทำงานพอดีเมื่อเช้าก็ไปเป็นเด๊กวัดเดินตามพระอาจารย์ไพบูยล์ช่วยหิ้วอาหารคาว อาหารแห้ง ผลใม้และของหวานที่ญาติโยมตักใส่บาตร โดยย้ายเอามาใส่ในถุงพลาสติกใบใหญ่หลังจากนั้นก็เอาไปรวมกองเอาไว้ที่บ้านป้าพวงเพื่อมอเตอร์ไซด์นำส่งทีวัดอีกครั้ง สำหรับผมก็ยังเดินตามพระอาจารย์กลับมาที่วัดเหมือนเดิม เสร็จจากตรงนี้ก็ขึ้นไปที่ตึกวิปัสสนาชั้นสามเพื่อไปนั่งคุย นั่งจิบกาแฟ บางครั้งก็มีขนมปัง ข้าวเหนียว อาหารคาวและอาหารแห้งที่หลวงพี่ท่านให้มาอีกที
ก็เป็นเดีกวัดมาตลอดตั้งแต่สักออกมา...
วันที่ ๑๖ ตค.หลังจากสึกก็มุ่งหน้าจากกำแพงเพชรกลับมาที่วัด ณ กรุงเทพมหานคร ถึงวัดประมาณเกือบเที่ยงคืน ผมนอนค้างที่วัดหนึ่งคืน เช้าวันรุ่งนี้ประมาณตีห้าสี่สิบก็ไปรอพระอาจารย์เพื่อเป็นเด๊กวัด รวมทั้งเป็นเด๊กวัดและถือโอกาสลาญาติโยมที่ใส่บาตรผมเมื่อตอนที่บวช เมื่อเสร็จจากตรงนั้นผมก็เดินกลับบ้านถือเป็นการกลับเข้าบ้านครั้งแรกหลังจากที่สึกและนอนวัดหนึ่งคืน สิ่งหนึ่งที่ทำคือกราบเท้าพระอรหันต์คือแม่สามครั้ง.....ซึ้งอ่ะดิ
ผมตั้งใจเอาไว้แล้วละว่าสึกออกมาก็จะมาเป็นเด๊กวัดช่วยพระอาจารย์ไพบุลย์ทุกเช้า วันจันทร์ - ศุกร์ เดินกลับวัดพร้อมพระอาจารย์ ยกเว้นเสาร์และอาทิตย์ที่จะมีคุณน้าแถวบ้านขับรถไปส่งพระอาจารย์ที่วัด ผมก็เดินกลับบ้าน
หลังจากสึกผมยังไม่ทำงาน ยังไม่รับงาน ขอเป็นเด็กวัดทุกวัน โดยกลับมาเริ่มทำงานชุดแรกเมื่อวันที่ ๑ -๓ พ.ย. ที่ผ่านมา ชุดที่สองก็ระหว่างวันที่ ๑๐ - ๑๕,๑๘ - ๒๒ และ ๒๕ พย. ชุดที่สามปลายเดือนพอดีคือ ๓๐ พย. - ๒ ธค. เป็นความตั้งใจขอตัวเองถึงแม้ว่าจะทำงานแล้วแต่ถ้าวันไหนว่างก็จะมาเป็นเด๊กวัดตามเดิม ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องเป็นถึงเมื่อไหร่ ทำไปเรื่อยๆๆ อยุ่กับพระอาจารย์ อยุ่ใกล้วัด เข้าวัดทุกวันตอนเช้ารุ้สึกสบายใจดี ถึงแม้ว่าตั้งแต่สึกออกมายังไม่ได้สวดมนต์อีกเลย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังทำอยู่เสมอคือการนั่งสมาธิ ถ้าไม่ง่วงมากจะนั่งก่อนนอน และตอนเช้าก่อนไปทำงาน
จากศีล ๒๒๗ ข้อที่ถือเป็วัตรปฏิบัติขณะที่บวช ตอนนี้กลับมาเป็นฆราวาสถือเพียงศีล ๕ ตั้งแต่สึกออกมากินของมึนเมาไปอย่างเดียวและครั้งเดียวเท่านั้นคือ
ไวน์แดงหนึ่งแก้วตอนไปงานแต่งงานเพื่อน...แก้วเดียวก็มึนนิดหน่อย
ความรุ้สึกเมื่อตอนที่สึกก็รู้สึกแปลกๆ รู้สึกหวิวๆ รุ้สึกเสียดาย รู้สึกอาลัยอาวรณ์ ช่วงสิบวันสุดท้ายขณะที่ไปปฏิบัติธรรมเพื่อให้ครบสมบูรณ์เรียบร้อยก่อนสึกมันมีความรุ้สึกอยุ่สองอย่างน่ะ...สึก หรือ ไม่สึก สำหรับความรุ้สึกที่ไม่สึกไม่ได้หมายความว่าจะบวชตลอดชีวิตน่ะแต่ยังอยากที่จะอยุ่ในผ้าเหลืองต่อไปอีกสักระยะเพราะมันมีความสบายใจ ไม่มีห่วง เรารู้สึกถึงความเป็นพระมากขึนเมื่อเทียบกับช่วงที่บวชเข้ามาใหม่ๆประมาณเดือนแรกๆ เมื่อได้เรียน ได้ศึกษาจากการเรียนนักธรรมตรีทำให้มีความเข้าใจในพุทธศาสนามากขึ้น ได้เรียนธรรมมะทำให้มุมมองและการเข้าใจชีวิตเปลี่ยนไปหมายถึงเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เรียนวินัยทำให้เข้าใจในศีลของพระทั้ง๒๒๗ข้อ ได้ปฏิบัติสมาธิ วิปัสสนากรรมฐานทำให้จิตใจสงบมากขึ้น ทุกสิ่งอย่างที่เรียนรุ้มาระหว่างการบวชนำมาประยุกต์ปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นควรจะเข้าวัดกันบ้างน่ะไม่จำเป็นต้องมีปัญหาในชีวิตแล้วถึงจะนึกถึงวัด
พุทธศาสนา คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ธรรมมะต่างๆ การปฏิบัติต่างๆ ถ้าอยากได้ต้องปฏิบัติกันเอาเองน่ะ ใช้ความเพียรให้มาก ทำให้สม่ำเสมอ ยิ่งปฏิบัติมากก็จะยิ่งได้กับตัวเอง บุญต้องทำเอง ทำแทนให้กันไม่ได้ การทำบุญมีหลายอย่างไม่ได้มีเพียงทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน หรือไถ่ชีวิตสัตว์ พยายามทำบุญในสิ่งที่เรายังไม่เคยทำบ้างก็จะดี เมื่อจะทำก็ชักชวนคนรอบข้างด้วยก็จะยิ่งดี ขณะทำบุญ..ระหว่างทำบุญ..และหลังทำบุญ ควรจะให้ถึงพร้อมด้วยศรัทธาทั้งกายและใจจึงจะเกิดประโยชน์สุงสุด บุญไม่ได้เกิดจากการอธิษฐานแต่เกิดจากการปฏิบัติ

สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆทุกท่านที่ติดตามอ่านบันทึกมาโดยตลอด หวังว่าบันทึกที่เขียนขึ้นระหว่างการบวชคงจะมีประโยชน์บ้างเพื่อความเข้าใจในพุทธศาสนาที่มากขึ้น ก็ขอฝากเอาไว้นิดหนึ่งว่าไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นจะดี จะไม่ดี แต่ที่สำคัญคือควรพิจารณาตัวเราเอง ดุจิตใจ ดุความรุ้สึกของตัวเองเป็นสำคัญ ทำกิจของเราให้สมบูรณ์เสียก่อนแล้วค่อยไปยุ่งกับกิจของคนอื่น

ขอบพระคุณทุกท่านและขอให้ความสำเร็จ ความเจริญจงมีแก่เพื่อนๆ พี่ๆ ทุกคน
ปฏิรพ ทิพรัตน์ 10. 29 เขียนที่บ้าน

ปล. ก่อนพระพุทธเจ้าจะปรินิพพานท่านตรัสเรื่องความไม่มาทในชีวิต พวกเราก็เช่นกัน
ศีล ๒๒๗ ข้อ หลวงพ่อชาสรุปเหลือเพียง ความละอายและเกรงกลัวต่อบาบ พวกเราก็เช่นกัน

บันทึกฐานยุตโต: ปวารณาออกพรรษา

๔ ตุลาคม ๒๕๕๒
บันทึกฐานยุตโต: ปวารณาออกพรรษา
เจริญพร
เวลาสามเดือนช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเกินวันนี้เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๐ วันออกพรรษา ไม่มีการสวดปาติโมกข์ แต่เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมาหลังจากฉันเพลบนศาลาเสร็จอาตมาพอมีเวลาซักสะบง จีวรเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางวันรุ่งขึ้นช่วงบ่าย สักประมาณบ่ายสองก็มีเสียงตามสายนิมนต์พระนวกะชั้นสี่ลงไปขนโต๊ะและเกาอี้เพื่อจัดเตรียมสถานที่สำหรับตักบาตรเทโวรอบโบสถ์วันพรุ่งนี้เวลา ๐๗.๔๙ น. หลังจากนั้นประมาณสิบโมงเช้าเป็นพิธีรับกฐินและฉันเพลตามลำดับ ช่วงบ่ายโมงกว่าออกเดินทางด้วยแท๊กซี่ไปหมอชิตเพื่อนั่งรถทัวร์ปลายทางที่สำนักสงฆ์น้ำตกคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร พรุ่งนี้จะมีพระทั้งสิ้นหกรูปเดินทางไปด้วยกัน วันรุ่งขึ้นจะมีพระเดินทางไปสมทบอีกสองรูป กิจสงฆ์นี้เรียกว่าการอยู่กรรมหรือปริวาสกรรมใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น ๑๐ วัน โดยเริ่มหลังจากออกพรรษาสามวัน กิจนี้จะเป็นกิจสุดท้ายก่อนที่อาตมาจะลาสิกขาที่โน้น

วันพรุ่งนี้โยมแม่และโยมน้องจะมาถวายเพลที่วัดบนศาลา หลังจากนั้นอาตมาจะขนของที่กุฏิบางส่วนที่จำเป็นฝากโยมน้องกลับบ้าน เหลือบางส่วนค่อยกลับมาจัดการและทำความสะอาดหลังจากสึกแล้ว อยู่ที่นี้อาตมาก็ถูพื้นหน้าระเบียงชั้นสี่ หน้าห้องน้ำ และบริเวณที่ซักผ้าทุกวัน ช่วงสามวันสุดท้ายก่อนออกพรรษาอาตมาก็ได้ทยอยล้างห้องน้ำทั้งแปดห้องจนครบเรียบร้อย

สามวันก่อนหน้านี้ฝนตกทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้า อาตมาขึ้นมาสรงน้ำตอนตีห้านิดๆเพื่อเตรียมที่จะออกเที่ยวบิณฑบาตถ้าฝนตกเบาลงจะได้ไปบิณฑบาตได้ สักประมาณเกือบหกโมงฝนเริ่มเบาอาตมาก็ห่มจีวรเดินกางร่มลุยฝนไปหาพระอาจารย์ตามจุดนัดหมายเช่นทุกวัน แต่พอไปถึงคาดว่าพระอาจารย์คงจะล่วงหน้าไปเรียบร้อยแล้ว อาตมาก็ออกมายืนกางร่มนอกวัดนึกในใจไปหรือไม่ไป สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะเดินออกไปถนนใหญ่ถ้าเห็นพระอาจารย์ก็จะเดินกวดตามให้ทัน พอออกไปเกือบจะถึงถนนใหญ่ก็เจอพระอาจารย์เดินกลับมาเปียกโชกไปทั้งตัวเพราะท่านไม่ได้ถือร่ม ผมก็กำลังจะเก็บร่มพระอาจารย์ท่านก็ห้ามเพราะว่าท่านเปียกแล้ว อาตมาเดินตามหลังพระอาจารย์กลับวัดชั่วระยะเวลาอันสั้นอาตมาก็เก็บร่มใส่ย่ามเดินตากฝนเหมือนพระอาจารย์ เดินต่อไปอีกนิดเดียวก็มีโยมมาจอดรถฝั่งตรงกันข้ามเพื่อตักบาตร อาตมาก็ได้อาหารเช้ามาสองถุงในวันนั้น พอกลับมาถึงวัดก็แยกย้ายกับกลับกุฏิอาตมาก็ซักจีวรที่เปียกทันทีพร้อมทั้งถูพื้นหน้าระเบียงชั้นสี่ฝั่งที่อาตมาอยู่ อาหารที่ได้จากโยมก็ยังไม่ฉันรอจนกระทั่งเกือบสิบโมงก็ลงมือฉันเพลหลังจากนั้นประมาณสิบเอ็ดโมงห่มจีวรเพื่อลงไปขึ้นรถไปสอบนักธรรมตรีวิชาวินัยที่วัดลาดพร้าวซึ่งเป็นการสอบวันสุดท้าย

การสอบนักธรรมตรีที่วัดลาดพร้าวเป็นการสอบสนามสุดท้ายเรียกว่าธรรมสนามหลวงสอบพร้อมกันทั่วประเทศ โดยสอบวันละวิชาเริ่มทำการสอบเวลา ๑๓.๐๐ น. เริ่มจากวันแรกวิชาแก้กระทู้พุทธสุภาษิต วิชาธรรมมะ วิชาพุทธประวัติและวินัยสงฆ์ตามลำดับ สำหรับการสอบเป็นข้อเขียนทุกวิชา ก่อนหน้านี้มีการสอบพระนวกะที่วัดนวลจันทร์วันละสองวิชาสองวันคือสอบเช้าและสอบบ่าย วัดสุดท้ายประกาศผลสอบและรับใประกาศนียบัตร
สอบทั้งหมดสี่วิชาๆละ ๑๐๐ คะแนน ต้องได้ ๒๘๐ คะแนนขึ้นไปจึงจะถือว่าผ่าน รวมสี่วิชาอาตมาได้ ๒๙๐ คะแนนเรียกว่าผ่านแบบฉิวเฉียด แต่ผลของการสอบครั้งนี้อาตมาทำคะแนนได้ดีกว่าการทดสอบครั้งแรกที่วัดจัดสอบขึ้นมาเองคือได้ ๒๗๓ คะแนน สองสนามแรกอาตมาไม่ซีเรียสเท่าไหร่ถือว่าเป็นการซ้อมและทบทวนความเข้าใจและความจำไปในตัว อาตมาให้ความสำคัญกับการสอบครั้งสุดท้ายคือธรรมสนามหลวง วัดจากการทำข้อสอบถือว่าเป็นที่น่าพอในอาตมาประเมินตัวเองคะแนนที่ได้ไม่น่าจะต่ำกว่า ๒๘๐ คะแนนอย่างแน่นอนแต่ผลสอบจะประกาศอีกทีก็ประมาณเดือนธันวาคมสามารถตรวจผู้ที่ผ่านนักธรรมตรีได้ทางอินเตอร์เน็ท

ช่วงต้นเดือนอาตมาได้เดินทางไปโรงพยาบาลสงฆ์เนื่องจากนิ้วโป้งและนิ้วชี้มือขวาชามานานแล้วตั้งแต่บวช ได้ยามาชุดใหญ่อีกทั้งก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจและค่ายาแม้แต่บาทเดียว นี้เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ได้รับจากการบวชครั้งนี้ ประทับใจในบริการและความเสียสละของเจ้าหน้าที่พร้อมทั้งพยาบาลและคุณหมอทุกท่าน อาการตอนนี้ก็ยังไม่หายแต่รุ้สึกว่าดีขึ้น คุณหมอนัดตรวจดูอาการอีกครั้งกลางเดือนตุลาคมและบอกว่าถ้ายังไม่หายอาจจะต้องผ่าตัด.....!!!!!! แต่เสียใจอยู่อย่างเดียวคุณหมอเรียกอาตมาว่าหลวงพ่อ!

พรุ่งนี้อาตมาต้องออกเดินทางช่วงบ่ายคาดว่าจะไปถึงสำนักสงฆ์คลองลานประมาณหัวค่ำ ช่วงอยู่ปริวาสกรรมสิบวันงดการติดต่อสื่อสารทั้งปวง อาตมาคิดว่านี้คงเป็นฉบับสุดท้ายที่จะได้คุยและแบ่งปันประสบการณ์ในฐานะที่ยังเป็นพระอยู่ ฉบับหน้าคงจะต้องหลังกลางเดือนตุลาคมไปแล้วหมายถึงลาสิกขาบทแล้วนั้นเอง ถึงตอนนั้นอาตมาจะมาเล่าประสบการณ์ปริวาสให้ฟังว่าเป็นอย่างไรบ้าง

ขอความสุข ความเจริญในอายุ วรรณะ สุขะ พละ จงมีแก่ญาติโยมทุกคน สาธุ!

พระปฏิรพ ฐานยุตโต
พระนวกะ ห้องเบอร์สี่ ตึกวิปัสสนา วัดสุวรรณประสิทธิ์ กรุงเทพมหานคร
๒๒.๑๒ น.

บันทึกฐานยุตโต : ว่าด้วยเรื่องศีลหรือวินัยของสงฆ์ตอนจบ

วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒
เจริญพร
ฉบับที่แล้วอาตมาได้เกริ่นเอาไว้นิดหน่อยเกี่ยวกับพระวินัย ๒๒๗ ข้อประกอบด้วยอะไรบ้าง มาถึงฉบับนี้ก็จะมาลงรายละเอียดกันสักหน่อยพอที่โยมจะเข้าใจได้ไม่ยากแต่คงไม่ละเอียดมากหรอกนะเดี๋ยวจะงงมากกว่าจะเข้าใจ
พระวินัยเป็นระเบียบแบบแผนที่พระพุทธเจ้าได้ตั้งขึ้นมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เพื่อบริหารหมู่สาวกให้ประพฤติดีงามและมีความประพฤติลงรอยเดียวกัน บทพระบัญญัติในพระวินัยนั้นไม่ได้ทรงวางเอาไว้ล่วงหน้าคือเมื่อมีเหตุเกิดขึ้นมาก่อนจึงได้ทรงตั้งพระบัญญัติขึ้นมาเรียกว่าต้นพระบัญญัติ ต่อมาเมื่อพระบัญญัติที่ตั้งไว้ไม่เป็นไปโดยสะดวก ก็ไม่ทรงถอนแต่ทรงดัดแปลงตั้งเพิ่มเติมภายหลัง เรียกว่า “อนุบัญญัติ”
เพราะฉะนั้นเมื่อพระภิกษุรูปใดทำผิดกฏหรือล่วงละเมิดข้อพระบัญญัติเราเรียกว่า “ อาบัติ” โดยอาบัติมีโทษด้วยกัน ๓ สถานคือ
๑. อย่างหนัก ต้องให้ขาดจากความเป็นภิกษุ ( ปาราชิก ๔ )
๒. อย่างกลาง ต้องให้อยู่กรรมหรือที่เรียกว่าปริสวาสกรรม ( สังฆาทิเสส ๑๓ )
๓. อย่างเบา ต้องให้ประจานตนต่อหน้าภิกษุด้วยกัน ( ที่เหลือทั้งหมดของพระบัญญัติ )
ต่อไปอาตมาก็จะขอกล่าวพอสังเขปไปที่ละหัวข้อนะโยมโดยขอเริ่มต้นก่อนที่ปาราชิก ๔ หมายถึง อาบัติหนักที่ภิกษุเมื่อละเมิดต้องขาดจากความเป็นภิกษุไปทันทีหรือง่ายๆคือต้องสึกทันที เป็นอาบัติที่ไม่สามารถแก้ไขได้ประกอบด้วยเสพเมถุนในมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉาน , ลักขโมยสิ่งของที่มีมุลค่า ๑ บาทขึ้นไป , เจตนาฆ่ามนุษย์ให้ตาย และอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตัวตน
สังฆาทิเสส ๑๓ เป็นอาบัติอย่างกลาง ที่ภิกษุสามารถปลงอาบัติได้ด้วยการอยู่กรรม ๖ ราตรี ประกอบด้วยมีเจตนาทำให้น้ำอสุจิเคลื่อน , มีเจตนาจับต้องกายหญิงด้วยความกำหนัด , มีความกำหนัดอยู่ พุดเกี้ยวหญิงพาดพิงถึงเมถุน,มีความกำหนัดพูดล่อหญิงให้บำเรอกาม, ชักสื่อให้ชายหญิงเป็นผัวเมีย, มีความพากเพียรเพื่อจะทำลายสงฆ์ให้แตกแยก , ภิกษุว่ายากสอนยาก ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง , ภิกษุประจบคฤหัสถ์ ยอมให้เขาใช้สอย เป็นต้น
อนิยต ๒ คำว่า “ อนิยต” แปลว่าไม่แน่นอน เป็นชื่ออาบัติที่ตั้งไว้ลอยๆ ระหว่าง อาบัติปาราชิก สังฆาทิเสส และปาจิตตีย์ อย่างใดอย่างหนึ่ง มีสองข้อคือ
- ภิกษุนั่งในที่ลับตากับหญิงสองต่อสอง สามารถอาบัติเป็นปาราชิก หรือ สังฆาทิเสาส หรือ ปาจิตตีย์
- ภิกษุนั่งในที่ลับหูกับหญิงสองต่อสอง สามารถปรับอาบัติเป็นสังฆาทิเสส หรือ ปาจิตตีย์
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ แปลว่า ต้องอาบัติปาจิตตีย์ด้วยสิ่งของอันจะต้องสละเสีย หมายถึงสิ่งของนั้นเป็นของที่ต้องสละประกอบด้วย ผ้าไตรจีวร อาสนะ บาตรและผ้าอาบน้ำฝน มีทั้งหมด ๓๐ ข้อ
ปาจิตตีย์ ๙๒ หมายถึง การละเมิดที่ทำให้กุศลตกไปหรือทำความดีให้เสียไป มีทั้งหมด ๙๒ ข้อ
เสขิยวัตร ๗๕ หมายถึง วัตรปฏิบัติที่ภิกษุพึงศึกษาหรือฝึกฝนปฏิบัติตาม เพื่อความเป็นผู้มีอาจาระอันงาม เป็นที่น่าเลื่อมใสแก่ผู้พบเห็น ได้แก่หมวดวัตรปฏิบัติเกี่ยวกับความประพฤติในเวลาเข้าบ้าน หมวดเกี่ยวกับการรับบิณฑบาตและฉันอาหาร หมวดเกี่ยวกับการแสดงธรรม และหมวดวัตรปฏิบัติเล็กๆน้อยๆที่เหลือ ทั้งหมด ๗๕ ข้อ
ลำดับสุดท้ายคืออธิกรณ์สมถะ หมายถึงธรรมเป็นเครื่องระงับอธิกรณ์ หรือ วิธีการดำเนินการเพื่อระงับอธิกรณ์ที่เกิดขึ้นให้สำเร็จลงอย่างเรียบร้อยด้วยดีมี ๗ อย่าง อนึ่งอธิกรณ์หมายถึงคดีของสงฆ์ด้วยกันเอง
จากทั้งหมด ๒๒๗ ข้อ หัวข้อสังฆาทิเสสทั้ง ๑๓ ข้อ เป็นสิ่งที่พึงระวังมากที่สุดเพราะเป็นสิ่งที่พระนวกะมีโอกาสมากที่จะละเมิดพระบัญญัติหรืออาบัติ รองลงมือคือปาราชิก ๔
ถึงตรงนี้อาตมาขอเพิ่มเติมอีกนิดเกี่ยวกับอันตรายของภิกษุสามเณรผุ้บวชใหม่ ๔ ข้อคือ อดทนต่อคำสั่งสอนไม่ได้ เบื่อต่อคำตักเตือน , เห็นแก่ปากแก่ท้อง อดทนต่อความอยากไม่ได้ , เพลิดเพลินในกามคุณ และรักผู้หญิง
ฉบับหน้าอาตมาจะเขียนเรื่องอะไรค่อยมาติดตามอ่านกันต่อไปนะโยม สำหรับผู้ที่ต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับศีล ๒๒๗ อาตมายินดีที่จะตอบ
สาธุ
๒๐.๕๗ นวกะห้องเบอร์สี่ วัดสุวรรณประสิทธิ์

บันทึกฐานยุตโต:ว่าด้วยเรื่องศีลหรือวินัยของสงฆ์ตอนที่๑


วันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๒
บันทึกฐานยุตโต : พระวินัยของสงฆ์
เจริญพร
ช่วงนี้อากาศดีฝนตกตอนเย็นทุกวันเลยแต่อาตมายังโชคดีเพราะจนถึง ณ ขณะนี้ที่ยังไม่ป่วย ไม่เป็นไข้ ธาตุทั้งสี่ในร่างกายยังมีความสมดุลดีอยุ่
จากบันทึกฉบับก่อนหน้านี้รุ้สึกว่าจะแต่เรื่องชีวิตของอาตมาเป็นส่วนใหญ่ อาตมาคิดว่าฉบับนี้จะขยับมาเขียนเรื่องพระวินัยของพระกันสักหน่อยเพื่อโยมจะได้มีความรุ้พอสังเขปและสามารถถ่ายทอดต่อไปได้ สมดั่งที่เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี
โดยส่วนมากเมื่อเสร็จพิธีบวชและออกจากใจโบสถ์แล้วก็เป็นการฉลองพระใหม่ หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้าน วันนี้เรามาดูสิว่ามีอะไรบ้างที่นอกเหนือจากสิ่งที่เรารู้
สิ่งหนึ่งที่พระใหม่หรือนวกะจะต้องรู้ทันทีหลังจากการอุปสมบทเสร็จเรียกว่า อนุศาสน์ ๘ ซึงเป็นคำสอนที่พระอุปัชฌาย์พึงบอกแก่ภิกษุ เพื่อให้ภิกษุทราบว่าอะไรคือข้อที่ควรปฏิบัติและข้อห้าม ซึ่งประกอบด้วย
๑.นิสสัย ๔( ควรปฏิบัติ)
- เที่ยวบิณฑบาต , นุ่งห่มผ้าบังสุกุล , อยู่โคนไม้ และ ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า
๒.อกรณียกิจ ๔ ( ไม่ควรประพฤติ )
- เสพกามเมถุน , ลักของเขา , ฆ่ามนุษย์ และ พูดอวดคุณวิเศษที่ตนเองไม่มี
หลังจากนั้นแล้วก็ต้องมีการอธิษฐานและพินทุจีวร สบง และสังฆาฏิ สำหรับการทำพินทุนั้นมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้วเพื่อที่จะทำให้ผ้ามีตำหนิและเป็นการทำเครื่องหมายเพื่อบอกว่าใครเป็นเจ้าของไตรจีวร โดยการทำพินทุนั้นจะทำที่มุมล่างด้านในของผ้าแต่ละผืนโดยทำเป็นวงกลมเล๊กๆสามวงพร้อมเขียนชื่อเต็มหรือชื่อย่อกำกับ รวมทั้งเครื่องหมายบวกและลบ
จีวรที่พระบวชจำพรรษาจะมีสองชุดคือชุดที่ห่มทำพิธีอุปสมบทในโบสถ์เรียกว่าชุดครองต้องทำเครื่องหมายบวกข้างเครื่องหมายพินทุและจะต้องใช้ชุดครองทุกครั้งถ้าเป็นไปได้เมื่อลงโบสถ์หรือทำสังฆกรรมของพระ
สำหรับอีกหนึ่งชุดเรียกว่าชุดอาศัย ใช้สำหรับออกเที่ยวบิณฑบาต หรือเดินทาง หรือลงศาลา ในกิจการใดๆที่ไม่เกี่ยวกับกับลงโบสถ์หรือสังฆกรรมของพระ
สำหรับจีวรในสมัยพุทธกาลเป็นสิ่งที่หายากต้องเก็บเอามาจากเศษผ้าที่เขาไม่ใช้แล้วและจึงนำมาเย็บเป็นจีวร โดยลักษณะของจีวรที่พระห่มอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นแบบเดียวกับสมัยพุทธกาล ผู้ออกแบบคือพระสารีบุตรอัครสาวกด้านขวาของพระพุทธเจ้า ลักษณะของจีวรพระสารีบุตรท่านเอาแบบมาจากแปลงนานั้นเอง นอกจากนี้จีวรที่ใช้กันในสมัยพุทธกาลเมื่อไม่สามารถใช้ห่มได้แล้วก็นำมาใช้เป็นผ้าขี้ริ้วหรือเอาไปผสมกับดินเหนียว ขี้วัว ขี้ควาย สร้างเป็นบ้านต่อไป คือใช้สอยกันอย่างคุ้มค่าเลยทีเดียว อาตมาก็ว่าจะทำอย่างนั้นเช่นกัน
สำหรับเรื่องพระวินัยของสงฆ์ที่มีมาในพระปาติโมกข์ ๒๒๗ ข้อนั้น สามารถแบ่งออกได้ดังนี้
๑. ปาราชิก ๔ สิกขาบท
๒. สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท
๓. อนิยต ๒ สิกขาบท
๔. นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ สิกขาบท
๕. ปาจิตตีย์ ๙๒ สิกขาบท
๖. ปาฏิเทสนียะ ๔ สิกขาบท
๗. เสขิยวัตร ๗๕ สิกขาบท
๘. อธิกรณสมถะ ๗ อย่าง
รวมทั้งหมด ๒๒๗ สิกขาบท
ฉบับนี้อาตมาคิดว่าคงเขียนไม่พอแล้วละโยม เอาเป็นว่าคงต้องเขียนต่อในฉบับหน้าน่าจะดีกว่า ยังไงขอให้โยมติดตามตอนต่อไปนะ อาตมารับรองเลยว่าโยมจะได้รับความรู้และสามารถถ่ายทอดต่อไปให้แก่บุคคลทั่วไป ยังความเจริญสืบเนื่องต่อไปของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย

สาธุ
๑๒ กันยายน ๒๕๕๒ ห้องนวกะเบอร์ ๔ วัดสุวรรณประสิทธ์

บันทึกฐานยุตโต : หนึ่งวันก่อนเวลา ๐๙.๐๙ น. วันที่ ๙ เดือน๙ ปีค.ศ. ๐๙


๘ กันยายน ๒๕๕๒
เจริญพร
เย็นวันนี้เป็นอีกวันที่ฝนตกหนักและทำให้เป็นข้ออ้างของอาตมาและหลวงพี่ท่านอื่นๆที่จะไม่ลงไปเรียน ฝนเริ่มตกตั้งแต่ก่อนหนึ่งทุ่มนิดๆ จนถึงขณะนี้ก็ยังตกแต่ไม่หนัก คืนนี้อากาศก็เย็นสบายเหมือนติดแอร์อีกแล้ว
วันนี้ช่วงเช้าเป็นวันที่ดีอีกหนึ่งวันเพราะอาตมาได้มีโอกาสได้ลงโบสถ์นั่งเป็นพระอันดับในพิธีอุปสมบทพระบวชใหม่อีกหนึ่งครั้งสรุปแล้วนี้ก็เป็นครั้งที่สองแล้วนะโยม เรื่องพระอันดับอาตมาได้รับแจ้งตั้งแต่เมื่อวานตอนหัวค่ำหลังจากทำวัตรเย็นเสร็จ เช้าวันนี้จึงต้องลงไปโบสถ์ในเวลา ๐๗.๓๐ น. ก่อนพิธีเริ่มพระทุกรูปต้องทำการปลงอาบัติก่อนเพื่อให้พิธีอุปสมบทบริสุทธิ์และสมบูรณ์ เมื่อเช้าอาตมาก็กลับมาจากการบิณฑบาตก่อนเจ็ดโมงเช้านิดหน่อยแต่มาเสียเวลาในการรอมอเตอร์ไซด์มาส่งของ วันนี้เป็นครั้งแรกที่รถมาส่งของเสียเวลาทำให้แผนที่วางไว้ว่าจะฉันเช้าอย่างรวดเร็วเป็นอันยกเลิกเพราะเวลาไม่ได้แล้ว อาตมาก็ฝากบอกท่านปุ่นและท่านสำรวยให้เสียบปลั๊กต้มน้ำร้อนให้หน่อยเพื่อจะฉันกาแฟร้อน ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆมื้อเช้าของวันนี้คือการแฟร้อนแก้วเดียว กว่าจะเสร็จพิธีอุปสมบทก็เก้าโมงเช้าถ้าฉันเช้าเวลานี้เพลมีหวังฉันไมได้แน่ เพราะฉะนั้นอาตมาเลือกที่จะรอเวลาเพื่อฉันเพล ระหว่างนั้นอาตมาก็ล้างบาตร สรงน้ำและเก็บตัวในห้องเพื่อท่องบทสวดมนต์ ตั้งใจเอาไว้ว่าในวันพระที่จะมาถึงในวันเสาร์ที่ ๑๒ กันยายนนี้อาตมาจะต้องท่องให้ได้ สักประมาณเกือบสิบโมงครึ่งเณรน้อยกัปตันก็มาเคาะประตูห้องเพื่อลงไปฉันเพลฉลองพระใหม่ ณ ห้องเรียนด้านล่าง นิมนต์พระทั้งหมดเก้ารูปด้วยกันถือว่านี้เป็นกิจนิมนต์ครั้งทีสองตั้งแต่บวชมา มนต์ที่ซ้อมและท่องในห้องก็ได้นำมาทดสอบได้เลยแต่ผลการทดสอบยังไม่น่าพอใจต้องฝึกอีกสักหน่อย อาหารที่โยมถวายประกอบด้วยแกงเขียวหวานไก่ ลาบหมู(ของโปรดเลยโยม) และบร็อคโคลลี่กับคะน้าผัดหมูกรอบ ของหวานเป็นผลไม้คือฝรั่ง แน่นอนอาตมาฉันลาบมากเป็นพิเศษ ฉันจนลาบหมดจานไม่เหลือเลยล่ะของเขาอร่อยจริงๆ กลับขึนมาบนกุฏิยังพอมีเวลาเหลืออาตมาก็จัดการขนมหวานที่โยมใส่บาตรมาให้เมื่อเช้า เมื่อเสร็จกิจทุกอย่างก็กลับเข้ามาพักผ่อนในห้องเปิดบทสวดมนต์ฟังไปด้วยท่องไปด้วย ไม่ทราบเหมือนกันว่าหลับไปตอนไหน มารู้สึกตัวตื่นอีกทีก็อีกประมาณยี่สิบนาทีบ่ายสองอาตมาก็รีบสรงน้ำลงไปเรียนทันที พร้อมทั้งหอบเอาการบ้านวิชากระทู้ธรรมที่ยังไม่ได้ส่งลงไปทำด้วย การบ้านที่ทำมาเสร็จเมื่อตอนหัวค่ำก่อนฝนตกตั้งใจจะส่งสักหน่อย แต่เจ้ากรรมฝนดันตกทำให้ไม่ได้ลงไปเรียนและไม่ได้ส่งต้องรอไปอีกหนึ่งวัน ๒๒.๐๐ น.

วันที่ ๙ เดือน ๙ ค.ศ. ๐๙
เจริญพร
วันนี้เป็นน่าจะเป็นวันที่เลขสวยแห่งปีและคงจะเป็นกระแสเฉพาะในเอเชียบ้านเราท่านั้น เช้านี้ญาติโยมก็ออกมาตักบาตรกันหนาตาพอสมควรอันนี้ไม่ได้สังเกตเฉพาะอาตมาเท่านั้นหลวงพี่ท่านอื่นๆที่อยุ่บนตึกเดียวกันก็มีความรุ้สึกเช่นนั้นเหมือนกันอันเนื่องมาจากของที่โยมตักบาตร นอกจากนี้ทางวัดยังได้รับอานิสงค์จากวันเลขสวยนี้ด้วย ปกติระหว่างสัปดาห์งานกิจนิมนต์แทบจะไม่ค่อยมี จะมีมากเฉพาะเสาร์และอาทิตย์เท่านั้น แต่วันนี้พระที่วัดออกกิจนิมนต์กันเยอะมากเฉพาะชั้นสี่ฝั่งที่อาตมาจำวัดก็ไปกันเกือบหมดเหลืออยุ่แค่สองรูปเท่านั้น เที่ยงนี้ฉันเพลรูปเดียวหน้าห้องอีกแล้ว ยังไงก็อย่าคิดทำดีเฉพาะวันนี้วันเดียวเท่านั้นละ วันดีๆมีทุกวันน่ะโยมสามารถทำได้ทุกวันไม่เว้นวันหยุด
สาธุ ๑๐.๔๗
ปล. ข้อควรปฏิบัติบางประการเกี่ยวกับพระที่คฤหัสถ์ควรทราบ
๑๖.บุรุษ สตรี เมื่อเลยเวลาเพลแล้ว คือตั้งแต่เที่ยงวันไปจนถึงวันใหม่ อย่านำอาหารไปประเคนพระ หากเป้นของที่เก็บค้างคืนได้ ไม่บูด ไม่เสีย เช่น ข้าวสาร ปลาดิบ เนื้อดิบ อาหารสำเร็จรูปบรรจุกระป๋อง เป็นต้น ก็มอบไว้แก่ไวยาจักกรของท่านได้ ( โภชนวรรค ข้อ ๗)
๑๗.บุรุษ สตรี ถ้าพระที่มิใช่ญาติและตนไม่ได้ปวารณาไว้ ไม่เป็นไข้ ขอโภชนะอันประณีต คือข้าวสุกที่ระคนด้วยเนยใส เนยข้น น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ปลา เนื้อ นมสด นมส้ม แม้อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ควรถวาย แต่ถ้าขอเพื่อผู้เป็นไข้ควรถวายโดยแท้ ( โภชนวรรค ข้อ ๙ )
๑๘.บุรุษ สตรี เมื่อประเคนอาหารหรือยาเป็นต้น ทุกอย่างที่พระจะต้องกลืนกิน ( ฉัน ) ต้องประเคนให้ถูกวิธีดังนี้
ก. ภาชนะหรือห่อของนั้น ไม่ใหญ่หรือหนักจนเกินไป ยกคนเดียวได้อย่างพอดี
ข. เข้าอยู่ในหัตถบาสของพระ ห่างจากพระประมาณ ๑ ศอก เป็นส่วนสุดของสิ่งของหรือของบุคคลผุ้ประเคน
ค. น้อมกายถวายด้วยความเคารพ
ง. กิริยาที่ถวายนั้น ถวายด้วยมือหรือของที่เนื่องด้วยมือ เช่น ช้อน – ภาชนะก็ได้
จ. พระรับด้วยมือ หรือของที่เนื่องด้วยมือ เช่น บาตร – ผ้า ก็ได้ ( โภชนวรรค ข้อ ๑๐ )
๑๙.สตรีไม่มีบุรุษผุ้รุ้เดียงสาอยู่เป็นเพื่อน ต้องไม่นั่ง ไม่นอน ไม่ยืน ไม่เดิน ในห้องพระ แม้จะมีสตรีหลายคนก็ไม่ได้ ( อเจลวรรค ข้อ ๔ )
๒๐.สตรีต้องไม่นั่ง ไม่นอนในที่แจ้งกับพระ หนึ่งต่อหนึ่ง ถ้าสตรีหลายคนนั่งได้ แต่การนอนนั่นไม่ควร แม้การยืน การเดินกับพระ หนึ่งต่อหนึ่ง ด้วยอาการซ่อนเร้นก็ไม่ควร ( อเจลวรรค ข้อ ๕ )

บันทึกฐานยุตโต:เก็บเอามาเล่า


๗ กันยายน ๒๕๕๒
เจริญพร
ในที่สุดบ่ายวันนี้อาตมาก็ทำกิจที่ได้รับมอบหมายเสร็จเรียบร้อยนั้นคือการเก็งข้อสอบวิชาพุทธประวัติจำนวน ๑๐๐ ข้อ หลังจากที่ไม่ได้ทำมาหลายวัน คิดว่าพรุ่งนี้คงจะนำไปส่งท่านเปรมและท่านพั้งค์ได้ ข้อสอบนี้หลังจากที่ผ่านตกตบแต่งแล้วจะถูกนำไปลงในเว็บไซด์ของทางวัดต่อไป นี้เป็นโครงการที่ท่านเปรมและท่านพั้งค์ประสงค์จะทำสำหรับการจำพรรษาปีนี้ ซึ่งในตอนนี้ก็อยู่ในระหว่างการจัดทำ อาตมาก็พอจะมีส่วนช่วยนิดหน่อยจากการทำแนวข้อสอบนี้แหละ
สิ่งที่ท่านทั้งสองจะทำต่อไปและกำลังอยู่ระหว่างการจัดเตรียมคือนิมนต์พระอาจารย์ บุญเกิดอัดเสียงบทสวดมนต์โดยใช้ห้องอัดเสียงของทางวัด อย่างเพิ่งสงสัยว่าทำไมวัดมีห้องอัดเสียงด้วย อันที่จริงทางวัดมีสถานีวิทยุชุมชนก็ใช้ห้องจัดรายการนั้นแหละทำการอัดเสียงได้ผลเป็นประการใดจะแจ้งให้ทราบอีกที
วันก่อนหลังจากที่ทำวัตรเย็นเสร็จอาตมากำลังจะเดินขึ้นตึก พระอาจารย์นัฐพงษ์ก็เดินเข้ามาคุยด้วยและพระอาจารย์มาทาบทามอาตมาให้เป็นประธานในการจัดสร้างพระประธาน โดยพระอาจารย์นัฐมีโครงการจะสร้างวิหารแบบจตุรมุขโดยมีหลังคาวิหารเป็นแบบโดมซึงสถานที่จัดสร้างนั้นอยู่ที่จังหวัดอำนาจเจริญ ณ ขณะนี้วิหารกำลังอยุ่ในช่วงของการออกแบบและติดต่อสถาปนิก เกือบลืมบอกไป!อาตมาก็ตกลงกับพระอาจารย์นัฐเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับการเป็นประธานในการสร้างพระประธาน แล้วจะนำมาแจ้งให้ญาติโยมทราบต่อไปตามลำดับนะ
เวลาก็ทำหน้าที่ของมันตามปกติเผลอแป๊บเดียวเข้าวันที่ ๗ กันยายนแล้ว เดือนหน้าหลังออกพรรษาก็ต้องเตรียมตัวออกเดินทางไปต่างจังหวัด สิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมคือเต้นท์อันนี้มีแล้วเพราะโยมน้องชายซื้อเอาไว้นานแล้ว วันก่อนก็รบกวนโยมป๋อน้องชายให้ช่วยซื้อถุงนอนให้หน่อย อันที่จริงถุงนอนก็มีแล้วน่ะแต่มันเก่าแล้วและขนาดก็ใหญ่มากคงเอาใส่ย่ามไปลำบาก เผอิญเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมามีงานท่องเที่ยวที่ศูนย์สิริกิตโยมน้องก็จัดการซื้อมาให้เรียบร้อย อีกอย่างที่ต้องซื้อคืออาสนะ ที่อาตมาคิดเอาไว้ก่อนออกพรรษาหรือประมาณหลังวันที่ ๑ ตุลาคมคงจะต้องขนของเกือบจะทั้งหมดใสกุฏิกลับเอาไปไว้ที่บ้านเพราะจะไม่อยุ่หลายวันกลัวว่าถ้าทิ้งเอาไว้ในห้องกลับมาอาจจะไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย ขนาดนมที่แช่น้ำแข็งหน้าห้องยังเคยเคยหายเลยโยมเพราะหลังเลิกเรียนพวกเด็กนักเรียนบางคนชอบขึ้นมาข้างบนเพื่อขออาหารหรือนม แต่ดันมาเครื่องดื่มเพราะสะงั้น เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาเด็กคนเดิมที่เคยขโมยกลับเข้ามาที่ตึกเพราะปีนข้ามมาจากตึกเณร อาตมาเห็นตอนกำลังปีนก็ทักว่าวันนี้จะมาขโมยอะไรอีกล่ะ เด็กคนนั้นก็เดินรอบระเบียงชั้นสี่กลับมาเจออาตมาอีก อาตมาก็พูดไปว่าไง! วันนี้ขโมยได้อะไรไปบ้างล่ะ เด็กมันคงอายอ่ะน่ะก็เลยปีนกลับไปตึกเณร อยู่วัดใช่ว่าจะปลอดภัยน่ะต้องคอยระวังทรัพย์สินเหมือนกัน
วันนี้ช่วงบ่ายโมงเสียงระฆังดังเป็นสัญญาณว่าต้องลงไปเรียนอาตมาก็สรงน้ำห่มลงไปเรียนตอนบ่ายโมงครึ่ง ปกติวิชานี้อาตมาจะลงไปเรียนตอนบ่ายสองโมง แต่วันนี้ก่อนบ่ายไปยืนคุยหน้าห้องหลวงพี่โกวิทหลังจากที่ทำเก็งข้อสอบเสร็จ หลวงพี่โกวิทพูดว่า “จะรีบลงไปเอาทรัพย์ ลงไปก่อนได้ทรัพย์ก่อน ลงไปทีหลังจะได้ทรัพย์น้อย อีกทั้งเรียนกับอาจารย์ดีกว่าอ่านหนังสือเอง” อาตมาได้ยินดังนั้นก็คิดตามคำพูดไปด้วย เออก็จริงอย่างที่หลวงพี่โกวิทพูดนั้นแหละจึงเป็นสาเหตุให้ลงไปเรียนไวและคงปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ แต่สำหรบวิชาพุทธสุภาษิตกระทู้ธรรมค่ำนี้อาตมาโดดเรียน มีความรู้สึกไม่อยากเรียนขึ้นมาดื้อๆ รู้สึกไม่ค่อยมีสมาธิสังเกตอาการตัวเองจากการลงทำวัตรเย็นวันนี้เพราะว่าสวดมนต์ไม่ค่อยมีสมาธิ สวดข้ามบ้าง สวดหลงบรรทัดบ้าง ก็เลยทำให้ไม่อยากเรียน ที่ไม่เรียนไม่ใช่มีอาตมาคนเดียวนะยังมีท่านโตน ท่านสำรวย ท่านตึ้ง ท่านอาร์มอีกด้วย แต่พอทุกคนลงไปหมดอาตมาก็ปิดไฟหน้าห้อง มันมืด มันเงียบดี อาตามาก็หลบเข้ามาในห้องปิดไฟนั่งสมาธิเพื่อเรียกสติตัวเองกลับมาสักหน่อย ก็รู้สึกดีขึ้น คืนนี้ก่อนนอนคงจะนั่งสมาธิอีกสักรอบ ช่วงนี้ก่อนนอนไม่ค่อยได้สวดมนต์เลย แย่จัง!

สาธุ
๒๐.๒๙ นวกะห้องเบอร์สี่ ตึกวิปัสสนา วัดสุวรรณประสิทธิ์

ปล. ข้อควรปฏิบัติบางประการเกี่ยวกับพระและคฤหัสถ์ที่ควรทราบ (ต่อ)
๑๑.บุรุษ เมื่อนอนในที่มุง ที่บัง อันเดียวกับพระครบ ๓ คืนแล้ว ต้องเว้นเสีย ๑ คืน ต่อไปจึงนอนได้อีก
( มุสาวาทวรรค ข้อ ๕)
๑๒.สตรี ห้ามนอนในที่มุง ที่บัง อันเดียวกับพระแม้ในคืนแรก ( มุสาวาทวรรค ข้อ ๖)
๑๓.บุรุษ สตรี ถ้าพระใช้ให้ขุดดินเหนียวล้วนหรือดินร่วนล้วน ไม่ควรขุด แต่ถ้าพระแสดงความประสงค์ว่า ต้องการหลุมหรือคูเป็นต้น หรือว่าต้องการขุดดินให้สูงเท่านั้นเท่านี้เป็นต้น ก็ควรจัดการให้ตามประสงค์
( มุสาวาทวรรรค ข้อที่ ๑๐ )
๑๔.บุรุษ สตรี ถ้าพระใช้ให้ตัดต้นไม้ หรือดายหญ้าที่เกิดอยู่กับดิน หรือให้รื้อถอนผักหญ้าต่างๆ ที่เกิดอยู่ใน น้ำไม่ควร ตัด – ดาย – รื้อถอน แต่ถ้าพระบอกว่า เราต้องการไม้ – หญ้า – ผัก หรือว่าเราต้องการทำความสะอาดในที่ซึ่งเกะกะรุงรัง ด้วยต้นไม้หรือผักหญ้าดังนี้เป็นต้น จึงทำให้ ( ภูตคามวรรค ข้อ ๑ )
๑๕.บุรุษ สตรี นิมนต์พระให้ฉันอาหารอย่าออกชื่อโภชนะ ๕ คือ ข้าวสุก ขนมสด ขนมแห้ง ปลา เนื้อ ควรใช้กัปปิยโวหารหรือคำพูดที่สมควร เช่น พูดว่า “ ขอนิมนต์ฉันเช้า ” หรือว่า “ ขอนิมนต์ฉันเพล ” และต้องบอกวัน เวลา สถานที่ให้ชัดเจน ทั้งบอกให้พระทราบด้วยว่าให้ไปกันเอง หรือจะมารับ อนึ่งการที่นิมนต์พระให้ฉันนั้นปรารภเรื่องอะไรก็ควรบอกให้ทราบด้วย ( โภชนวรรค ข้อ ๒ )

บันทึกฐานยุตโต: ชั้นสี่ตึกวิปัสสนา



๔ กันยายน ๒๕๕๒
เจริญพร
สำหรับตึกที่อาตมาจำพรรษาอยู่ที่วัดสุวรรณประสิทธิ์เรียกว่าตึกวิปัสสนา พระนวกะทั้งหมดอยุ่บนชึ้นสูงสุดของตึกคือชั้นสี่และมีสองฝั่งคือฝั่งหนึ่งด้านหน้าของระเบียงจะเป็นเขตวัดสามารถมองเห็นหลังคาโบสถ์ชัดเจน (อาตมาอยู่ฝั่งนี้) อีกฝั่งจะอยุ่ติดกำแพงวัดมองออกไปก็เป็นบ้านของญาติโยมที่อยู่บริเวณนี้รวมทั้งเห็นโรงเรียน
บนชั้นนี้มีห้องน้ำทั้งสิ้น ๘ ห้องและอ่างล้างหน้าในจำนวนที่เท่ากัน ด้านหลังห้องน้ำเป็นที่ใช้ซักผ้าซึ่งบริเวณนี้จะอยู่ติดกับตึกของเณร
ฝั่งที่อาตมาอยู่นั้นนับจากห้องน้ำมาเป็นห้องเบอร์หนึ่งของท่านตึ้ง ถัดมาเป็นของท่านปุ่น ท่านโกวิท อาตมา ท่านก้อย ห้องเก็บของ ห้องพระอาจารย์นัฐพงศ์ ห้องเก็บของอีกหนึ่งห้อง ท่านสำรวย ท่านโตน หลวงพ่อแดง ท่านเว และท่านเป้
ท่านปุ่นแรกเริ่มเดิมทีตั้งใจจะบวชเพียงเดือนเดียว แต่ต่อมาเปลี่ยนใจเป็นอยู่ตลอดพรรษา
ท่านเป้ที่จริงมีกำหนดจะต้องสึกกลางเดือนสิงหาคม แต่ต่อมาก็เปลี่ยนใจอยุ่ตลอดพรรษาเช่นกัน
หลวงพ่อแดงอยู่ยาวจนถึงเมษายนปีหน้า
หลวงพี่โกวิทยังไม่ทราบว่าจะสึกเมื่อไหร่ อีกทั้งหลวงพ่อคือพ่อของหลวงพี่โกวิทก็บวชอยู่ที่นี้เช่นกัน หลวงพี่ท่านก็คอยดูแลท่านเป็นบางโอกาสเมื่อเจ็บป่วย
ท่านสำรวย มาจากอำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร มาบวชไกลถึงที่นี้เพราะพระอาจารย์ท่านสำรวยส่งมา อีกทั้งท่านสำรวยไม่ใช่คนไทยแต่เป็นกะเหรี่ยง เมื่อช่วงหัวค่ำผู้ใหญ่บ้านโทรมาให้เดินทางกลับบ้านด่วนเพราะบัตรประชาชนที่รอคอยมานานได้แล้ว
สำหรับอีกฝั่งนั้นอาตมาไม่ค่อยได้ไปคลุกคลีมากเท่าไหร่ แต่ก็มีพูดคุยกันบ้างนิดหน่อย เริ่มจากห้องน้ำก็เป็นห้องของหลวงพี่ติงลี่ ห้องท่านตั้ม ห้องหลวงพ่อสมภพ ห้องท่านตุ๋ย ห้องหลวงพี่เล๊ก ห้องท่านอาร์ม ห้องท่านแอมป์ และห้องหลวงพี่ต้อม
ในส่วนของตึกเณรชั้นสามมีพระนวกะจำพรรษาอยู่สามรุปคือท่านเปรม ท่านพั้งค์และท่านสันต์ ส่วนสามเณรทั้งหมดอยู่ชั้นสี่ในความดูแลของพระอาจารย์หมู ประกอบด้วยสามเณรกัปตัน สามเณรอี๋ สามเณรม่อน สามเณรเบียร์ สามเณรโย สามเณรตั้ว และสามเณรเต้ย
หน้าตึกที่อาตมาจำพรรษาใต้ต้นมะขามมีรังแตน วันก่อนอาตมากำลังกวาดห้องเรียนด้านนอกอยุ่ เห็นพวกเณรวิ่งหนีอะไรกันก็ตะโกนถาม ปรากฏว่าเณรโยเอาอะไรสักอย่างปารังแตนดีนะที่ไม่โดน ไม่งั้นคงได้วิ่งหนีกันสนุก ยังมีรังผึ้งอีกอยู่ใต้ต้นโพธิ์ซึ่งอาตมาก็เคยโดยผึ้งต่อยมาครั้งหนึ่งแล้วตอนกวาดลาดวัด รังแตนอีกรังอยู่ใต้บันไดที่จะเดินขึ้นชั้นสี่วันก่อนอาตมาก็เพิ่งโดนต่อยมาหนึงทีขณะที่กำลังเดินลงมากวาดลานวัดด้านล่าน จู่ๆมีแตนจากไหนไม่รุ้บินมาต่อยระหว่างนิ้วก้อยและนิ้วนางมือขวา...ความรู้สึกที่โดนต่อยบอกไม่ถูกเลยมันร้อนและแสบมาก อาตมาก็ไม่ได้ตีมันนะ ปล่อยให้มันต่อยให้เสร็จแล้วมันก็บินจากไปทิ้งแต่ความเจ็บปวดเอาไว้ อาตมาต้องไปขอยาหม่องที่สำนักงานทาแก้ปวด ก่อนหน้านี้ท่านอาร์มก็โดนแตนรังนี้ต่อยมาสองวันติดเลยที่นิ้วเท้าและฝาเท้า ท่านปุ่นก็โดนต่อยที่หน้าแข้งมาแล้วเหมือนกัน
รังสุดท้ายเป็นรังแตนอยู่บนคาคบไม้ใกล้ประตูทางเข้าโบสถ์ สามวันก่อนตอนมืดพระอาจารย์สายัณห์และสามเณรไปจัดการทำลายรังเรียบร้อยแต่สามเณรโดนต่อยไปที่หน้าผากหนึงที ส่วนพระอาจารย์สายัณห์โดนต่อยไปสี่ทีสีตัว ได้ข่าวว่าวันรุ่งขึ้นเป็นไข้ออกไปบิณฑบาตไม่ได้ไปหนึ่งวัน

สาธุ
๒๐.๒๖ วัดสุวรรณประสิทธิ์ ห้องเบอร์สี่ ตึกวิปัสสนา

ปล. ข้อปฏิบัติบางประการเกี่ยวกับพระและคฤหัสถ์ที่ควรทราบ

๖. บุรุษ สตรี ผู้เป็นพ่อค้า แม่ค้า ไม่ควรขายของแก่พระภิกษุ หือสามเณรผู้ที่จับต้องเงิน ( ธนบัตร เหรียญบาท เป็นต้น ) มาซื้อด้วยตนเอง ( โกสิยวรรค ข้อ ๙ )
๗. บุรุษ สตรี ไม่ควรเอาสิ่งของของตนแลกกับสิ่งของของพระ ของเณร ( โกสิยวรรค ข้อ ๑๐ )
๘. บุรุษ สตรี ไม่ควรเอาผ้าอาบน้ำฝนถวายพระก่อนเข้าพรรษามากกว่า ๑ เดือน แม้พระของก็ไม่ต้องถวาย เว้นไว้แต่พระที่เป็นญาติ และพระที่ตนปวารณาไว้ ( ปัตตวรรค ข้อ ๔)
๙. บุรุษ สตรี เมื่อเตรียมสิ่งของจะถวายแก่สงฆ์ (ไม่เฉพาะบุคคล) ถ้าพระแนะนำให้ถวายเฉพาะตัวท่านเองหรือให้ถวายเฉพาะพระรูปใดๆก้ตาม ไม่ต้องถวายตามคำแนะนำนั้น ( ปัตตวรรค ข้อ ๑๐ – สหธรรมมิกวรรคข้อ ๑๒)
๑๐. บุรุษ สตรี เมื่อเรียนธรรมกับพระ อย่าออกเสียงบทพระธรรมพร้อมกับพระ ( มุสาวาทวรรค ข้อที่ ๔ )

บันทึกฐานยุตโต:นึกชื่อเรื่องไม่ออก


๔ กันยายน ๒๕๕๒
เจริญพร
ช่วงหลังนี้อาตมาไม่ค่อยว่าง เวลามีก็เฉพาะช่วงเช้าก่อนเพลและช่วงค่ำหลังสามทุ่มไปแล้วทำให้ไม่ค่อยมีเวลาที่จะเขียนบันทึกสักเท่าไหร่ อันที่จริงก็มีหลายเรื่องจะเขียนเหมือนกันแต่กลัวว่าญาติโยมจะเบื่อเสียก่อน
วันนี้เป็นวันพระใหญ่ ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือนสิบ หรือวันที่ ๔ กันยายน ครบรอบสองเดือนที่อาตมาบวชนี่ก็เหลืออีกเพียงเดือนเดียวก็จะออกพรรษาแล้วเวลาช่างเดินทางผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆ วันนี้ก็ลงโบสถ์ไปตอนบ่ายสองโมงเพื่อทำวัตรเย็นแล้วก็ต่อด้วยการฟังปาติโมกข์หลังจากนั้นท่านเจ้าอาวาสก็มีเรื่องพูดคุยนิดหน่อยในโบสถ์ก่อนที่แยกย้ายกันกลับกุฏิ มีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือท่านเจ้าอาวาสท่านเล่าให้ฟังว่าปีนี้พระทั้งประเทศมีจำนวนประมาณ ๒๕๐,๐๐๐ รูป และเณรประมาณ ๖๐,๐๐๐ รูป คาดหมายว่าในอีกสี่สิบปีข้างหน้าจะไม่มีพระในประเทศไทย วัดก็จะกลายเป็นอนุสรณ์สถานไป สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะจะมีคนบวชเรียนน้อยลงและระยะเวลาในการบวชก็จะสั้นลงประมาณ ๑๕ วันถึง ๑ เดือน เพราะฉะนั้นพระนวกะที่บวชปีนี้ควรจะตั้งใจเรียนและปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของพระธรรมวินัยและการทำวัตรเช้า – เย็น
นอกจากนี้ในโบสถ์พระอาจารย์กาญจน์ยังแจ้งเพิ่มเติมว่าช่วงกลางเดือนกันยายนจะมีการติววิชาที่เรียนในหลักสุตรนักธรรมตรี , วันที่ ๒๔ – ๒๕ กันยายนจะมีการสอบซ้อมที่วัดนวลจันทร์ และระหว่างวันที่ ๒๘ ก.ย. – ๑ ต.ค. สอบสนามจริงที่วัดลาดพร้าว , วันที่ ๔ ต.ค. และวันที่ ๕ ต.ค. ตักบาตรเทโว หมายความว่าตั้งแต่กลางเดือนไปอาตมาคิวเรียนเน้นมากเลยโยม
ขณะที่เขียนบันทึกฝนก็กำลังตกอยู่ด้านนอก คืนนี้อากาศเย็นสบายอีกแล้วโยม ฝนตกทีไรอากาศในห้องเหมือนติดแอร์เลย เช้าทีไรไม่ค่อยอยากตื่นเลยแต่ก็ต้องตื่นเพราะการบิณฑบาตเป็นกิจของสงฆ์ ตื่นสายสุดที่ทำมาคือตีห้า
ช่วงเดือนที่ผ่านมาเงินที่โยมถวายใส่บาตรอาตมาก็ทำบุญให้ต่อโดยจ่ายเป็นค่าน้ำ – ค่าไฟของวัด อีกส่วนอาตมาเก็บสะสมเงินสองวันพระรวมเงินโยมที่บ้านสมทบทุนมาด้วยเป็นจำนวน ๒,๕๐๐ บาท ใส่ซองร่วมถวายผ้าป่าที่จะนำไปสร้างพระพุทธชินราชจำลอง ณ จังหวัดพัทลุง ช่วงตลอดเดือนกันยายนอาตมาก็อนุโมทนาเงินญาติเพื่อเก็บเอาไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพื่อเข้าปริวาสต่างจังหวัดเป็นเวลาสิบวัน อนึ่งช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาอาตมาก็ขอเงินที่บ้านมาใช้ ๑,๐๐๐ บาท สรุปก็คือว่าเงินที่อาตมาได้จากการบิณฑบาตหรือกิจอื่นที่เกี่ยวเนืองอาตมาไม่ได้นำมาใช้เลยแต่ทำบุญต่อให้ญาติโยม
เมื่อสักครู่ขณะที่กำลังนั่งเขียนบันทึกท่านตึ้งห้องเบอร์หนึ่งก็มาเคาะประตูเรียกเพราะว่าท่านสำรวยห้องเบอร์เก้ามีกิจด่วนต้องเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดกำแพงเพชรคืนนี้ เนื่องด้วยวินัยถ้าพระรูปไหนมีกิจต้องเดินทางและไปค้างคืนต่างจังหวัดต้องนิมนต์พระอีกสี่รูปเพื่อมาฟังท่านสำรวยสวดมนต์คำสัตตาหะสามรอบ เมื่อสวดเสร็จต้องแจ้งให้ทราบว่าจะเดินทางไปไหนและไปกี่วันแต่ต้องไม่เกินเจ็ดวันไม่งั้นขาดพรรษา แค่นี้ก็เป็นอันเรียบร้อย หวังว่าท่านสำรวยคงทันรถทัวร์รอบสามทุ่ม

สาธุ
๑๙.๓๙ วัดสุวรรณประสิทธิ์ ห้องเบอร์สี่ ตึกวิปัสสนา

ปล.ข้อควรปฏิบัติบางประการเกี่ยวกับพระและคฤหัสถ์ที่ควรทราบ
เพื่อที่จะให้คฤหัสถ์ บุรุษ สตรี ทั้งหลายช่วยกันรักษาภิกษุสงฆ์ให้บริสุทธิ์เป็นนาบุญอย่างดี จะได้เพิ่มปริมาณผลแห่งพืชบุญที่บริจาคหว่านลงไปให้มากยิ่งๆขึ้น จึงได้รวบรวมพระวินัยบางข้อที่คฤหัสถ์ทั้งบุรุษและสตรีควรทราบนำมาเรียบเรียงเป็นข้องๆพอเป็นแนวทางแห่งการศึกษาและปฏิบัติสำหรับคฤหัสถ์ ดังต่อไปนี้
๑. สุภาพสตรี อย่าถูกต้องภิกษุสามเณร ( สังฆาทิเสส ข้อ ๒ )
๒. สุภาพบุรุษ หรือสุภาพสตรี ไม่ควรวานให้พระชักสื่อชายหญิงให้เป็นสามีภรรยากัน แม้ชั่วครั้งชั่วคราว( สังฆาทิเสส ข้อ ๕ )
๓. สุภาพสตรี ไม่มีบุรุษผู้รู้เดียงสาไปด้วย ไม่ควรเข้าไปหาพระในที่ลับตาหรือลับหู เพราะอาจจะทำให้พระถูกโจทด้วยอาบัติต่างๆ หรือเป็นทางให้เกิดความเสียหายมาก ( อนิยต ข้อ ๑-๒ )
๔. สุภาพบุรุษหรือสตรี เมื่อศรัทธาจะถวายเงินทองแก่พระภิกษุหรือสามาเณาต้องให้ให้แก่ไวยาจักร ( ผุ้ที่รับทำกิจของท่าน) และแจ้งให้ท่านทราบ อย่ามองให้ในมือหรือในย่าม หรือในบาตรของท่าน เป็นต้น( จีวรวรรรค ข้อ ๑๐ – โกสิยวรรค ข้อ ๘)
๕. บุรุษผู้เป็นไวยาจักร เมื่อรับทองของพระรูปให้ไว้เท่าไรต้องจัดสิ่งของที่พระต้องการถวายพระรูปนั้น ใน ราคาเท่าเงินทางที่ตนรับไว้นั้น ในเวลาที่ท่านขอ ถ้าเงินทองมากพระขอของน้อย ก็จ่ายเท่าที่ท่านต้องการ เก็บส่วน ที่เหลือไว้จ่ายคราวต่อไป ( จีวรวรรค ข้อ ๑๐ )

บันทึกฐานยุตโต:กลับไปเยี่ยมบ้านครั้งแรก



๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๒

เจริญพรญาติโยมทั้งหลาย
อีกไม่กี่วันก็จะสิ้นเดือนสิงหาคมอีกแล้ว เหลือเดือนหน้าอีกเดือนเดียวก็จะออกพรรษาช่วงเวลาเกือบสองเดือนที่ผ่านมาช่างมาไปอย่างรวดเร๊วจริงๆ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาอาตมาก็จำพรรษาอยู่วัดเกือบจะตลอดเวลา ก็มีบ้างนิดหน่อยที่ออกไปข้างนอกอาทิ ไปวัดมหาธาตุท่าพระจันทร์สองครั้ง ไปวัดพระแก้วหนึ่งครั้ง ไปขนไม้ต่างๆกลับมาวัด ล่าสุดที่ผ่านมาก็กลับไปเยี่ยมบ้าน
มีโยมหลายคนถามอาตมาว่าสบายดีไหม บวชแล้วเป็นอย่างไรบ้าง คำตอบคืออาตมาสุขกายสบายใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ไม่มีเรื่องต้องกังวล ไม่มีเรื่องต้องให้คิดมาก บวชเรียนช่วงเข้าพรรษาได้ความรู้ติดตัวเยอะพอสมควร ได้รู้ ได้ปฏิบัติ ในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน คิดว่าหลังจากสึกแล้วคงได้นำความรุ้ที่ได้จากการบวชเรียนนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันต่อไปและแน่นอนที่สุดก็จะคำสิ่งที่ได้ไปเผยแพร่ต่อไป
ช่วงสามวันนี้คือนับตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้ และวันพระพรุ่งนี้งดเรียนสามวันเนื่องด้วยมีนักเรียนมาเข้าค่ายธรรมมะที่วัด จะเริ่มเรียนวิชาใหม่สองวิชาสุดท้ายในวันที่ ๒๙ สิงหาคมนี้ หยุดเมื่อวานวันแรกก็ได้เวลาซักผ้าเช็ดตัว สะบงและจีวร ช่วงบ่ายก็จำวัดไปนิดหน่อยแต่อากาศร้อนอบอ้าวมากตื่นขึ้นมาก็ลงไปช่วยท่านปุ่นและหลวงพ่อแดงทำบอร์ดพระนวกะประจำปี ๒๕๕๒ มาเสร็จตอนสองทุ่ม โชดดีที่เมื่อคืนฝนตกอากาศเย็นจำวัดสบายเหมือนติดแอร์ สำหรับวันนี้หลังจากทำวัตรเช้าเสร็จอาตมาก็ซักจีวรและสะบงอีกหนึ่งชุด หลังจากนั้นก็ถูพื้นระเบียงชั้นสี่เพราะว่าเมื่อคืนฝนตกลงมาตอนดึกมีน้ำขังนิดหน่อยแล้วก็อาบน้ำนอนพักผ่อนอ่านหนังสือพิมพ์ในห้อง เวลา๑๑.๐๐ เป็นเวลาฉันเพล หลังเพลอาตมาก็เข้ามานอนอ่านหนังสือพิมพ์ต่อแล้วก็ผล่อยหลับไปตอนบ่ายโมงกว่า ตื่นขึ้นมาอีกทีตอนบ่ายสองโมงครึ่งก็นอนอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ พอสี่โมงเย็นก็ได้เวลาขึ้นไปทำความสะอาดศาลาสำหรับวันพระพรุ่งนี้
วันเสาร์ที่ผ่านมาอาตมากลับไปเยี่ยมบ้านเป็นครั้งแรกตั้งแต่บวชเรียนมา อันที่จริงอาตมาตั้งใจจะกลับไปเยี่ยมวันอาทิตย์แต่เผอิญว่าโยมพี่ชายขับรถจากสระบุรีพร้อมโยมพี่สะใภ้และหลานสองคนกลับมาบ้านวันศุกร์และจะเดินทางกลับวันอาทิตย์ อีกทั้งโยมน้องชายเดินทางไปดูงานและค้างต่างจังหวัดกลับเย็นวันอาทิตย์ เพราะฉะนั้นก็ต้องเปลี่ยนแผน โยมพี่ชายมารับอาตมาที่วัดตอน ๐๙.๓๐ จากวัดไปบ้านใช้เวลาเดินทางไม่นานไม่เกินสิบนาทีเท่านั้นแหละโยม เข้าไปในบ้านอาตมาก็กราบพระก่อน หลังจากนั้นก็นั่งคุยกับโยมแม่ โยมพี่ชายและหลานคนโต อีกสักพักโยมน้าตุ๋ยน้องสาวของโยมแม่ก็มาถึงและก็ช่วยกันเตรียมอาหารอยุ่หลังบ้าน อาตมาก็ใช้เวลาช่วงนั้นเดินไปเยี่ยมโยมน้าเพียรสามีของโยมน้าปุกน้องสาวของโยมแม่ซึงไม่สบายนอนพักอยุ่บนชั้นสอง บ้านของโยมน้าปุกก็ไม่ไกลอยุ่ตรงกันข้ามแค่นั้นเอง โยมน้าเพียรไม่สบายในวันโกนและวันบวชไม่มีโอกาสไปร่วมงานอาตมาก็ใช้โอกาสนี่แหละไปเยี่ยมโยมสักหน่อย นั่งพุดคุยสักพักก็ขอตัวกลับเพื่อให้โยมน้าเพียรพักผ่อน หลังจากฉันเพลที่โยมแม่ โยมน้าปุก โยมน้าตุ๋ย โยมป้อ โยมยายและโยมพี่ชายพร้อมทั้งครอบครัวถวายเสร็จอาตมาก็ให้พร โดยเริ่มจากบทกรวดน้ำและตามด้วยพรอีกสองบทเป็นอันเสร็จพิธี โยมก็ไปทานอาหารเที่ยงกันต่อ อาตมาก็ใช้เวลาช่วงนั้นสวดมนต์หน้าพระนิดหน่อยเพื่อเป็นสิริมงคลกับบ้าน ก่อนจะกลับอาตมาก็แวะไปเยี่ยมโยมตาซึงพักอยุ่ที่บ้านโยมน้าเล๊กน้องสาวของโยมแม่อีกคน บ้านโยมน้าเล็กก็ไม่ไกลหรอกอยู่หลังบ้านเท่านั้นเอง โยมตาสุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงต้องมีคนคอยช่วยพยุงตลอดเวลาเมื่อจะเดินหรือนั่งเพราะฉะนั้นโยมตาจึงไม่มีโอกาสได้ไปร่วมงานวันโกนและวันบวชของอาตมา ตอนไปถึงโยมตายังหลับต้องให้เด็กที่บ้านปลุกและพยุงขึ้นมา ตื่นขึ้นมาก็ยังสลึมสลือแต่พอเห็นผ้าเหลืองก็ยกมือไหว้ โยมน้าปลุกต้องคอยตะโกนข้างหูโยมตาเพื่อบอกว่าอาตมาเป็นใครเนื่องจากโยมตาอายุมากร่างกายไม่แข็งแรง หูตึง ความจำต่างๆเริ่มเลือนหายไป อาตมาอยุ่คุยนิดหน่อยแล้วก็ลากลับวัด ก่อนกลับโยมตาก็ยกมือไหว้อีกครั้ง
แน่นอนโยมพี่ชายขับรถมาส่งทีวัด อาตมายังพอมีเวลาที่จะสรงน้ำและห่มจีวรลงไปเรียนตอนบ่ายต่อไป เรียนไปก็หาวไปง่วงไปเกือบจะหลับเหมือนกัน อาตมาคิดจะกลับไปเยี่ยมบ้านอีกสักครั้งในระยะเวลาอันใกล้นี้

สาธุ
๒๑.๐๙ นวกะห้องเบอร์สี่ ตึกวิปัสสนา วัดสุวรรณประสิทธิ์

บันทึกฐานยุตโต:ว่าด้วยเรื่องอภิธรรม



๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๒
** วันนี้ก็ครบรอบวันพระใหญ่อีกครั้งถ้านับตั้งแต่บวชนี้ก็เป็นครั้งที่สี่แล้วน่ะโยม เมื่อคืนอาตมาโทรบอกโยมน้องให้เอาพระในห้องอาตมาฝากโยมแม่มาให้อาตมาตอนเช้าช่วงบิณฑบาต เช้านี้ก็ได้พระมาสมปรารถนาด้วยกันสามองค์คือ พระสิวลี พระรอดวัดบวร และหลวงปู่แดงพุธโท องค์สุดท้ายอาตมาได้มาหลายปีแล้วช่วงที่ลงไปทำทัวร์ทางภาคใต้ขากลับก็แวะวัดหลวงปู่แดงที่หลังสวนก็ได้มาบูชาหนึ่งองค์เล็กๆ ที่วัดตอนบ่ายถึงเย็นจะมีโยมเอาที่ใส่กรอบพระมาขายอาตมาก็ได้โอกาสวันนี้เปลี่ยนกรอบพระรอบสักหน่อยเพราะกรอบมีไอน้ำเยอ่ะเหลือเกิน
อาตมาอาจจะคิดช้าไปหน่อยแต่ก็ไม่สายเกินไปคือจะนำเอาพระทั้งสามองค์เข้าโบสถ์ทุกครั้งเวลาสวดมนต์ทำวัตรเช้าและเย็น ที่เลือกสามองค์นี้มีเหตุผลนิดหน่อยอย่างพระรอดอาตมาก็ห้อยขอมานานเพราะโยมแม่ให้มานานมากแล้ว หลวงปู่แดงมีคนทักว่าอาตมาต้องมีติดตัว พระสิวลีมีพุทธคุณเรื่องโชคลาภไปไหนไม่อดอยาก

** ติดเอาไว้ตั้งแต่คราวที่แล้วโน้นเกี่ยวกับการศึกษาของพระ อาตมาจะขอเกริ่นอีกนิดหน่อยแล้วจะเจาะเข้าเรื่องเลย การศึกษาของพระหลักๆแล้วมีอยุ่ด้วยกันสามเรื่องคือนักธรรมตรี โท และเอก อันนี้เรียนเฉพาะช่วงเข้าพรรษา ภาษาบาลีหรือที่เราเรียกว่าเปรียญเรียนทั้งปีมีทั้งหมด ๙ ระดับ และสุดท้ายที่จะพูดถึงวันนี้คืออภิธรรมก็มีทั้งหมด ๙ ระดับด้วยกัน
พระไตรปิฎกที่เรารู้จักกันแบ่งออกเป็นสามหมวดคือ พระวินัย พระสูตรและพระอภิธรรม ทั้งสามหมวดรวมกันแล้วได้ทั้งหมด ๔๕ เล่ม ๒๒,๐๐๐ กว่าหน้า มีธรรมะนับได้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์หรือเรื่องหรือบท สาเหตุที่มี ๔๕ เล่มเพื่อหมายถึงระยะเวลา ๔๕ พรรษาที่ทรงเผยแพร่พุทธศาสนา
พระวินัย เป็นเรื่องบทบัญญัติและข้อบังคับในการปฏิบัติตัวของพระสงฆ์หรือผุ้ออกบวช ถ้าจะให้เข้าใจง่ายก็คือกฎหมายพระนั้นเอง ซึ่งก็คือศีล ๒๒๗ ข้อ เอาไว้โอกาสหน้าจะมาอธิบายเรื่องศีลกันโยมจะได้มีความรุ้เข้าใจเกี่ยวกับศีลของพระ เพราะอาตมาคิดว่าโดยส่วนมากเรารุ้แค่ว่าพระถือศีล ๒๒๗ ข้อ แต่ไม่ทราบว่ามีอะไรบ้าง
พระสูตร เป็นเรื่องเกี่ยวกับธรรมเทศนา หรือธรรมบรรยายต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้เหมาะสมแก่บุคคล เหตุการณ์ และโอกาส รวมถึงพระธรรมเทศนาของพระสาวกและพระสาวิกาที่กล่าวตามแนวพระพุทธพจน์
พระอภิธรรม เป็นธรรมมะที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไปตามเนื้อหา ไม่เกี่ยวกับบุคคลหรือเหตุการณ์ใดๆทั้งสิ้น เรียกว่าเป็นวิชาการล้วนๆ อาทิ เรื่องขันธ์ ๕ ก็จะอธิบายโดยละเอียดว่าขันธ์ ๕ คืออะไร แบ่งออกเป็นอะไรได้บ้าง แต่ละอย่างนั้นเป็นอย่างไร
สำหรับหลักสูตรการศึกษาพระอภิธรรม สามารถแบ่งออกได้สามระดับคือจูฬ มัชฌิม และ มหา ในแต่ละระดับแบ่งย่อยออกอีกสามระดับคือตรี โท และเอก ซึ่งใช้เวลาในการเรียนต่างกันดังนี้
ชั้นที่ ๑ จูฬอาภิธรรมิกะตรี ( ใช้เวลา ๖ เดือน )
ชั้นที่ ๒ จูฬอภิธรรมิกะโท ( ใช้เวลา ๖ เดือน )
ชั้นที่ ๓ จูฬอภิธรรมิกะเอก ( ใช้เวลา ๖ เดือน )

ชั้นที่ ๔ มัชฌิมอาภิธรรมิกะตรี ( ใช้เวลา ๑๒ เดือน )
ชั้นที่ ๕ มัชฌิมอาภิธรรมิกะโท ( ใช้เวลา ๑๒ เดือน )
ชั้นที่ ๖ มัชฌิมอาภิธรรมิกะเอก ( ใช้เวลา ๑๒ เดือน ) จบระดับนี้เทียบเท่าการศึกษาระดับม. ๖

ชั้นที่ ๗ มหาอภิธรรมิกะตรี ( ใช้เวลา ๑๒ เดือน )
ชั้นที่ ๘ มหาอภิธรรมิกะโท ( ใช้เวลา ๑๒ เดือน )
ชั้นที่ ๙ มหาอภิธรรมิกะเอก ( ใช้เวลา ๑๒ เดือน ) ผุ้จบการศึกษาในชั้นสูงสุดเทียบเท่าปริญญาตรีในทางโลก สามารถศึกษาต่อระดับปริญญาโท ในหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้
เพราะฉะนั้นตั้งแต่ชั้นที่ ๑ – ชั้นที่ ๙ ใช้เวลาทั้งสิ้น ๗ ปีกับอีก ๖ เดือน ถือว่าใช้เวลาพอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งพระสัทธัมมโชติกเถระ ธัมมาจริยะ พระเถระระดับบัณฑิตผุ้มีความแตกฉานในพุทธศาสนาจากประเทศพม่าเป็นผุ้จัดทำหลักสูตรเอาไว้ อีกอย่างทางพม่าเขาเก่งทางด้านนี้
สำหรับผู้สนใจสามารถเข้าไปดุรายละเอียดได้ที่ http://www.buddhism-online.org/ หรือ e-mail: elearn@mcu.ac.th เขาเปิดสอนสำหรับบุคคลทั่วไปด้วยนะโยม


สาธุ

๒๑. ๓๐ น. วัดสุวรรณประสิทธิ์

ปล. บันทึกฉบับนี้อาจจะจริงจังไปสักหน่อยถือสะว่า “ รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม ” นะโยม

บันทึกฐานยุตโต: เนื่องในวันแม่



๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๒
** เจริญพรโยม เมื่อวานเป็นวันที่ ๑๒ สิงหาคม วันแม่แห่งชาติ อากาศร้อนช่วงบ่ายงดเรียนแต่มีการบ้าน ทำวัตรเสร็จก็มานั่งพักผ่อนหน้าห้องพูดคุยกับหลวงพี่ท่านอื่นๆตามปกติ รอเวลาที่โยมป้อและโยมแม่ของป้อมาถวายของก่อนเพล อาตมาก็ใช้เวลาช่วงนั้นซ้อมมนต์ที่จะต้องกรวดน้ำและให้พรแต่ซ้อมจนเคลิ้มเกือบหลับไปเหมือนกัน พอถึงเวลาจริงๆบทกรวดน้ำก็ยังท่องจำได้ไม่หมด สุดท้ายเมื่อถึงเวลาจริงๆก็ต้องเปิดหนังสือ หลังถวายของเสร็จก็นั่งคุยกันนิดหน่อยสอบถาม พูดคุยเรื่องทั่วไปหลังจากนั้นโยมทั้งสองก็ลากลับ อาตมาก็กลับขึ้นมาบนห้องเตรียมฉันเพล มื้อนี้โยมป้อถวายก๋วยเตี๋ยวไก่ตุ๋นสองถุงพร้อมซาละเปาทับหลีและอื่นๆ แน่นอนท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน จำวัดไปสักหน่อยก็ตื่นขึ้นมาเพราะอากาศร้อน สรงน้ำสบายตัวแล้วก็ลงมือทำการบ้านพุทธประวัติสิบข้อ เหลืออีกข้อเดียวก็จะเสร็จ ทันใดนั้นท่านตึ้งที่อยุ่ห้องเบอร์หนึ่งขึ้นมาตามพระใหม่ห้ารูปเดินทางไปวัดมหาธาตุท่าพระจันทร์พร้อมกับพระอาจารย์กาญจน์และพระอาจารย์อีกรูปเพื่อไปสวดมนต์และเจริญภาวนาแก่องค์พระราชินีเนื่องในวันแม่ รถติดนิดหน่อยและถนนบางเส้นรอบสนามหลวงปิดการจราจร เดินทางถึงวัดประมาณห้าโมงเย็นทันเวลาสวดมนต์พอดี ใช้เวลาในการสวดมนต์และนั่งสมาธิทั้งสิ้นประมาณชั่วโมงเศษก็เดินทางกลับ ระหว่างทางก็ผ่านร้านอาหารมากมายทำให้รุ้สึกอยากเหมือนกัน กลับมาถึงวัดประมาณสองทุ่มครึ่งเดินตรงดิ่งขึ้นมาที่ห้องเปิดกระติกน้ำแข็งฉันนมเปรี้ยวไปหนึ่งกล่องตามด้วมกาแฟร้อนผสมโอวัลตินไปหนึ่งแก้วแล้วก็สรงน้ำ สบายตัวและสบายท้อง
เมื่อวานมีพระทั้งสิ้นประมาณสามพันรูปที่เดินทางไปร่วมพิธีที่วัดมหาธาตุถือว่าเป็นโอกาสที่ดีอีกครั้งของ.อาตมาที่ได้มีส่วนรวมในพิธีที่สำคัญของประเทศเป็นอีกหนึ่งมงคลในชีวิต....สาธุ เปรียบเทียบกับช่วงที่เป็นฆราวาสโอกาสดีๆและสิ่งดีๆอย่างนี้แทบจะไม่ได้ทำ อย่างมากก็เปิดทีวีดูพิธีที่เขาถ่ายทอดสดจากท้องสนามหลวง
เมื่อวานช่วงเช้าเดินบิณฑบาตญาติโยมออกมาตักบาตรกันมากพอสมควร อาหารที่ได้มามากมายพอสมควร ปัจจัยที่โยมๆถวายมาก็มีบ้างเหมือนกันจำไม่ไดแล้วว่าเท่าไหร่แต่อาตมาก็นำใส่ในโบสถ์เรียบร้อยทุกบาททุกสตางค์หลังทำวัตรเช้าเสร็จ อาตมาก็ตั้งใจเอาไว้ว่าเงินทุกบาทที่ญาติโยมถวายมาให้จะถวายวัดหมด มีหลวงพี่ท่านหนึ่งแนะนำให้นำเงินที่ได้มาไปซื้อสังฆทานแล้วนำไปถวายวัดต่างจังหวัดที่ขาดแคลน แต่อาตมากลัวว่าถ้าเก็บเอาไว้นานจำนวนเงินก็จะเพิ่มมากขึ้นจนห้ามใจไม่ไหว อาตมาก็สาธุและขอบคุณหลวงพี่ท่านนั้นไปสำหรับคำแนะนำที่ดีอย่างนั้น
สาธุ
๑๐.๑๙ วัดสุวรรณประสิทธิ์

ปล. เรื่องนี้มาจากพระอาจารย์ตอนอบรมเกี่ยวกับคุณนายชื่อโต วันหนึ่งคุณนายโตอยากจะนิมนต์พระมาทำบุญที่บ้าน ถึงวันงานพระก็สวดมนต์ก่อนแล้วค่อยฉันเพล หลังจากนั้นพระต้องสวดต่อก่อนจะรับเครื่องสังฆทาน และปัจจัยเป็นอันเสร็จกิจพิธี พระสวดไปรอบแรกคุณนายโตฟังด้วยความปิติ มีความสุขเป็นอย่างมาก พักฉันเพลอาหารที่เตรียมไว้ก็เลิศรสจนพระฉันกันไม่ไหว พระขึ้นสวดอีกรอบ แหม! ถูกใจคุณนายโตจริงๆ เสียงพระที่เทศน์ก็เพราะจับใจ มาถึงบทสวดกรวดน้ำ
" ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปุเรนติ สาคะรัง เอวะเมวะ อิโต ทินนัง...."
เท่านั้นแหละเป็นเรื่องเลย พอคุณนายโตได้ยินคำว่าอีโต( อิโต ) ก็เกิดความไม่พอใจว่าทำไมพระมาด่าเราอย่างนี้ อาหรก็ จัดให้เต็มที่ สังฆทานก็ดี ปัจจัยในซองก็รูปล่ะ ๕๐๐ บาท คุณนายโตโกรธแล้วสิเรียกเอาสังฆทานจากพระพร้อมทั้งปัจจัยคืนหมดเลย
เรื่องนี้ก็เป็นที่เลื่องลือไปหลายวัดเลยและเป็นที่ขยาดไปตามกัน วันหนึ่งคุณนายโตอยากจะนิมนต์พระมาสวดที่บ้านอีกครั้งเพราะยังไม่สบายใจจากคราวที่แล้ว ครั้งนี้คุณนายโตมานิมนต์พระอีกวัดหนึ่งไป พระท่านก็เคยได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาก่อนก็กลัวล่ะสิ กลัวจะโดนคุณนายโตไล่กลับแบบคราวที่แล้ว ถึงวันงานพระที่ได้รับนิมนต์ก็ท่องมนต์กันอย่างเต็มที่เป็นที่ถูกอกถูกใจคุณนายโตเป็นอย่างมาก อาหารก็ประเคนกันเย่อะแยะจนพระฉันกันไม่ไหว มาถึงช่วงสำคัญที่ต้องสวดบทกรวดน้ำพระที่โดนนิมนต์ไปคราวนี้ก็ยังนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น " ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง เอวะเมวะ คุณนายโต ทินนัง เปตานัง ..." คุณนายโตได้ยินดังนั้นดีใจเป็นที่สุดตบเข่าฉาดเลย แหม! พระวัดนี้เทศน์ดีจริงๆ ไม่เหมือนพระวัดที่นิมนต์มาคราวที่แล้วแหมมาสวดมาด่าเรา ผลที่สุดคุณนายโตเพิ่มปัจจัยในซองจาก ๕๐๐ เป็น รูปล่ะ ๑๐๐๐ บาท !
เอวังก็มีเพียงประการล่ะฉะนี้

บันทึกฐานยุตโต: โยม!จะขำไหมเนี่ย



๑๐ ส.ค. ๒๕๕๒

** เผลอแป๊บเดียวนี้อาตมาบวชมาได้เดือนกว่าแล้วอีกไม่นานก็จะสิ้นเดือน เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆ ช่วงเวลาที่เป็นพระจิตใจมันสงบ มันสบายใจดีจริงๆโยม เทียบไม่ได้เลยกับก่อนที่จะบวชมันมีเรื่องต้องให้คิดมากมาย ยิ่งถ้าทำงานแล้วด้วยต้องคิดมากขึ้นไปอีก จิตสงบใจก็สงบ ทุกอย่างอยุ่ที่ใจจริงๆ

** ช่วงเช้าๆตอนตื่นนอนหลังอาบน้ำถ้าวันไหนได้ฉันกาแฟร้อนน่ะโยม รุ้สึกว่าร่างกายมันสดชื่น ออกเดินเที่ยวบิณฑบาตโปรดโยมมีความสุขจริงๆ ถ้าวันไหนไมได้ฉันวันนั้นก็เดินแบบเหี่ยวๆ สงสัยจะคิดไปเองหรือเปล่า โยมคิดว่าอย่างไรบ้างล่ะ
วันนี้หลังกลับจากบิณฑบาตก็มาแกะซองปัจจัยที่โยมถวายให้มา...เจอแบงค์ยี่สิบสองซอง สิบบาทหนึ่งซอง อีกซองเป็นแบงค์สีม่วงห้าร้อยบาท แต่อาตมาไม่ได้เก็บเงินทั้งหมดเอาไว้ใช้ส่วนตัวหรอก ช่วงหลังอาตมาก็ใช้เงินตัวเองในการซื้อของเล๊กๆน้อยๆ สำหรับปัจจัยโยมทั้งหมดวันนี้ ๕๕๐ บาท อาตมาก็ทำบุญไปเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าใช้จ่ายต่างๆของวัด ทำไปแล้วรุ้สึกสบายใจจริงๆ มันโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก สวดมนต์ทำวัตรเสร็จแต่ล่ะวันก็
เดินสบายใจจนบางครั้งหลวงพี่ท่านอื่นๆก็แซวว่าเป็นอะไรอ่ะหลวงพี่เดินยิ้มมาคนเดียว

** เรื่องห้องน้ำสำหรับพระก็สำคัญน่ะ ที่จะเล่าให้ฟังเป็นประสบการณ์ที่พระรูปอื่นและเณรเจอมา อาตมายังไม่เจอประสบการณ์นี้กับตัวเองและไม่อยากเจอด้วย นั้นคืออาการปวดท้องหนัก ถ้าปวดท้องก่อนที่จะเริ่มเดินออกจากวัดก็โชคดีไปหมายความว่าให้หัวหน้าสายที่พระรูปนั้นๆเดินบิณฑบาตด้วยทุกวันเดินไปก่อนแล้วพระค่อยเดินกวดตาม แต่อีกกรณีคือปวดท้องหนักระหว่างบิณฑบาต โยมลองนึกสภาพพระสิ...ทั้งจีวรที่ห่ม บาตร และย่ามที่สะพายอยุ่ใต้จีวร รวมทั้งอาหารที่โยมตักบาตรใส่มาให้เต็มไปหมด แล้วถ้าจะเข้าห้องน้ำระหว่างทางทุลักทุเลน่าดุเลยน่ะ อย่างเช่นวันนี้มีพระรูปหนึ่งปวดท้องระหว่างเดินบิณฑบาตก็เลยต้องเปลี่ยนไปปั้มน้ำมันอย่างรวดเร๊ว อีกรูปที่ได้ฟังมาคือท่านก็ปวดอย่างหนักแล้วอ่ะน่ะประมาณว่าวินาทีนี้ต้องห้องน้ำเท่านั้น แต่ไม่สามารถเพราะต้องให้โยมตักบาตรให้เสร็จก่อน สมาธิต้องแข๊งเพราะไหนจะต้องให้พรโยม ไหนจะต้องควบคุมข้าศึกไม่ให้ทะลวงประตูเข้ามาได้ พอเสร็จเท่านั้นล่ะรีบบอกพระอาจารย์แวะเข้าห้องน้ำแทบไม่ทันนะโยม โยมๆที่เคยมีประสบการณ์แบบนี้คงพอจะเข้าใจความรุ้สึกน่ะว่ามันเป็นเช่นไร

** บิณฑบาตรแต่ละวันของที่โยมถวายก็จะซ้ำกันบ้าง หรืออาจจะมีแปลกๆบ้าง ล่าสุดที่อาตมาได้มาคือโยมใส่มะพร้าวเผามาให้หนึ่งลูก มาถึงวัดก็กองไว้ข้างล่างแหละเพราะไม่รุ้จะฉันยังไง หรืออย่างหลวงพี่บางท่านเจอโยมใส่แตงโมมาให้ทั้งลูกเลยดีน่ะที่ไม่ใช่ลูกใหญ่เพราะไม่งั้นเต็มบาตรพอดีเลยล่ะโยม หรือกล้วยเป็นหวีก็เจอมาแล้ว
หรือช่วงที่ผ่านมาหลายวันแล้วล่ะตรงกับวันพระพอดี ตอนนั้นยังไมได้เปลี่ยนสายบิณฑบาต เดินผ่านหน้าเซเว่นอีเลฟเว่นพนักงานก็นิมนต์ตักบาตรวพวกอาหารคาว อาหารแห้งไม่มีปัญหาเท่าไหร่หรอกแต่ขวดน้ำเปล่าที่ถวายมาให้น่ะสิเป็นขวดขนาดเล๊ก แค่ขวดเดียวไม่มีปัญหาหรอกโยมแต่วันนั้นเจอไปหลายขวดเลยวันนั้นเดินสะพายย่ามไหล่ขวาเอียงไปเลย อันนี้เป็นประสบการณ์เล่าสุ่กันฟังสนุกๆน่ะ ญาติโยมจะตักบาตรใส่อะไรมาให้พระก็ตามศรัทธาน่ะโยม พระท่านไม่ว่าหรอก สาธุ
มีอีกเรื่องที่พระอาจารย์ท่านเล่าให้ฟัง มีโยมคนหนึ่งแก่แล้วแต่เป็นคนพม่ามาอยุ่เมืองไทยนานแล้วเวลาวันพระก็จะมายืนรอพระเพื่อตักบาตร แต่พอถึงวันพระ พระทุกรูปรุ้จักแกดีจะพยายามหลีกไม่เดินผ่านหน้าบ้านแก วันนั้นพระอาจารย์หลบไม่ทัน “หลวงพ่อนิมนต์เจ้าค่ะ” โยมนิมนต์แล้วจะเดินหนีก็ไม่ได้ ปกติเวลาโยมจะใส่บาตรอาจจะมีการอธิษฐานใช่ไหมแต่ไม่นาน แต่โยมป้าคนนี้แกศรัทธาแรงกล้ามากอธิษฐานอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนานประมาณครึ่งชั่วโมงถึงจะเริ่มใส่ อาหารที่ใส่ก็ไม่ธรรมดาน่ะอย่างน้อยต้องมีเป็ดหรือไก่ซีพีหนึ่งตัว ใส่ไปแค่นี้ก็เต็มบาตรแล้ว อีกอย่างรับบาตรโยมป้าเสร็จไม่ต้องบิณฑบาตต่อแล้วเดินกลับวัดได้เลย เพราะโยมคนอื่นๆก็ใส่บาตรกับพระรูปอื่นเรียบร้อย
อีกเรื่องเกี่ยวกับพระบวชใหม่บวชได้ไม่กี่วันก็ถึงวันพระใหญ่ แล้วพระรูปนี้ก็อยุ่กุฏิใกล้กับเณร เณรรุปนี้ก็ไม่ธรรมดาเพราะว่าบวชมานาน เณรก็นิสัยดีเข้าไปแนะนำเลยว่า “พรุ่งนี้วันพระใหญ่หลวงพี่ต้องห่มจีวรครองชุดใหญ่ลงศาลาเลยน่ะ ” พระบวชใหม่ฟังแล้วก็สงสัยสิว่าไอ้ครองชุดใหญ่เป็นยังไง เณรก็บอกไปว่า “ให้เอาพวกบาตร ตาลปัตร หมอน เสื่อ ผ้าหุ่ม ห่มพร้อมจีวรลงศาลาให้หมดเลยนี่แหละครองชุดใหญ่ ” รุ่งเช้าพระรูปนั้นก็ทำตามที่เณรแนะนำมาครองชุดใหญ่เต็มที่เลยมาลงศาลามาอย่างภาคภูมิใจ แต่โยมนึกสภาพออกใช่ไหมว่าผลจะเป็นอย่างไร และอะไรจะเกิดขึ้นกับเณรรุปนั้นบ้าง
อีกเรื่องเกี่ยวกับพระบวชใหม่เหมือนกัน เป็นธรรมดาของพระที่บวชใหม่เรื่องเกี่ยวกับวินัยยังไม่ค่อยรุ้ วันหนึ่งพระรูปนั้นก็เปิดกระป๋องนมข้นที่โยมเขาเอามาถวายจะฉันอะไรสักอย่างตัวหัวค่ำแล้ว เณรเห็นเข้ารีบทักพระรูปนั้นทันที “ หลวงพี่! นมข้นเปิดแล้วต้องฉันให้หมดน่ะ ไม่งั้นอาบัติ ” พระใหม่ได้ยินคำว่าอาบัติก็ตกใจสิ ถามเณรต่อไปว่า “อ้าว! แล้วจะทำยังไงล่ะฉันคืนเดียวไม่หมดหรอก ” เณรตอบไปว่า “ไม่ยากหรอกหลวงพี่ แค่หลวงพี่เอานมข้นที่เปิดไว้แล้วถวายให้เณรก็ไม่อาบัติแล้ว” แหม! ไม่รุ้ว่าเณรรูปนั้นหลอกพระใหม่ได้นมข้นไปกินทุกวันไปกี่กระป๋องกว่าที่พระใหม่จะรุ้ว่าเก็บเอาไว้ได้ไม่อาบัติ
วัดที่อาตมาจำพรรษาก็มีเณรเหมือนกัน ที่นี้ก็ไม่ธรรมดาขนาดเคยแกล้งพระอาจารย์ที่คุมตึกเณรมาแล้วเลยอย่างเช่น ขังพระอาจารย์เอาไว้ในห้องตัวเณรก็ลงมาเดินเล่นข้างล่าง หรือ หลอกให้พระอาจารย์กินฉี่

เจริญพร
๒๒.๑๔ วัดสุวรรณประสิทธิ์

บันทึกฐานยุตโต:มรดกบาป


บันทึกฐานยุตโต: บาปมรดก
๙ ส.ค. ๒๕๕๒

** เมื่อวันพระใหญ่ที่ผ่านมาหลังจากหลังจากลงโบสถ์สวดมนต์และฟังปาติโมกข์เสร็จก่อนที่เดินขึ้นตึกพระอาจารย์นัฐให้ตามท่านปุ่นและหลวงพ่อแดงลงมาพบที่สำนักงานด้านล่าง ช่วงที่ท่านทั้งสองนั่งอยุ่ในสำนักงานอาตมาแอบมองเข้าไปในห้องสังเกตุเห็นได้ถึงบรรยากาศที่จริงจังและเครียดนิดหน่อย ข้อสงสัยที่มีหลังจากที่ได้พูดคุยและสอบถามเป็นดังนี้คือพระอาจารย์กาญจน์และพระอาจารย์นัฐได้กล่าวตักเตือนเรื่องการรักษาความสะอาดและขยะบนชั้นสี่ เรื่องเสียงที่ดังจากเพลงและเครืองเล่นโทรทัศน์แบบพกพา เรื่องการพูดคุยเสียงดัง เรื่องการลงไปฉันเช้าที่ใต้ศาลาด้านล่าง โดยประเด็นทั้งหมดเป็นการกล่าวฝากท่านทั้งสองมาบอกและเตื่อนพระรูปอื่นๆบนชั้นสี่ว่าให้ช่วยกันรักษาและปฏิบัติตามระเบียบให้ถูกต้อง ถึง ณ ตอนนี้พระทุกท่านก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

** วันนี้ช่วงหัวค่ำก่อนจะเริ่มเรียนวิชาวินัยมุขพระอาจารย์กาญจน์เข้ามากล่าวถึงการคัดเลือกประธานรุ่น รองประธานสองรูป เลขานุการ และเหรัญญิกตำแหน่งล่ะหนึ่งรูป โดยพรุ่งนี้ช่วงบ่ายหลังเลือกเรียนวิชาพุทธประวัติจะมีการลงคะแนนเสียงและคัดเลือกกัน ผลจะเป็นประการใดจะแจ้งให้ทราบอีกทีนะโยม....

** เรื่องวินัยมุขที่เรียนเมือวานตอนหัวค่ำพระอาจารย์สมบัติได้กล่าวถึงในเรื่องการถวายสังฆทาน โยมทราบไหมว่าสังฆทานที่เราๆปฏิบัติกันอยุ่นั้นไม่ถูกต้องตามวินัยของพระ หมายถึงถังสีเหลือง สีส้มที่โยมๆยกถวายพระนั้นแหละ
สังฆทานนั้นคือของอะไรก็ได้ที่ถวายแก่สงฆ์ตั้งแต่สี่รูปขึ้นไป โดยไม่เฉพาะเจาะจง ไม่จำเป็นต้องมาเป็นถัง แต่ถ้าโยมต้องการที่จะถวายทานแบบเฉพาะเจาะจงเรียกว่า “ บุคลิกทาน”
อีกอย่างถ้าโยมต้องการถวายอาหารไม่ว่าจะเป็นของแห้งหรือของคาวสามารถถวายได้ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงหรือเพล แต่ถ้าเลยเพลไปแล้วของแห้งที่โยมถวายให้พระ...พระที่รับของไปก็อาบัติทันที บางครั้งโยมไม่ทราบเพราะ
ถวายมาทั้งถังแต่ในถังปรกติก็จะมาอาหารแห้งอยุ่แล้ว ใช่ไหมโยม?

** เรื่องการประเคนอาหารก็เหมือนกันยังมีความเข้าใจผิดและสับสนกันมากพอสมควรระหว่างพระด้วยกันเองและฆราวาส อาทิเช่น การจับโต๊ะประเคนอาหารให้พระ ที่ถูกคือต้องประเคนอาหารให้พระทีละอย่าง ทีละจานไม่ใช่จับขอบโต๊ะประเคน พระบางรูปก็ไม่ทราบก็รับประเคนทั้งโต๊ะเช่นกัน อาบัติต่อพระทั้งโต๊ะทันที
อีกเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกันคือเมื่อพระรับประเคนอาหารจากโยมเรียบร้อยแล้ว ถ้าโยมมาจับอาหารที่ประเคนไปแล้วโยมต้องประเคนอาหารนั้นใหม่ให้แก่พระ โยมคิดว่าถูกหรือผิด ที่พระอาจารย์สมบัติท่านอธิบายให้ฟังเป็นดังนี้ อาหารที่โยมประเคนให้พระเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นโยมมาจับอาหารต่างๆที่ประเคนให้เพื่อความเรียบร้อยหรือเพื่อจัดระเบียบ หรือมาถูกต้องอาหารโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ถ้าเป็นดังนี้ไม่จำเป็นต้องประเคนใหม่ ยกเว้นแต่อาหารในถ้วยหมดโยมยกออกไปเพื่อเติมใหม่อันนี้ต้องประเคนอีกรอบ แต่ถ้าโยมเติมอาหารบนโต๊ะนั้นไม่ต้องประเคนใหม่น่ะโยม !
จะเสียการประเคนต้องประกอบไปด้วย
๑. รับประเคนแล้วเปลี่ยนเป็นเพศหญิง
๒. รับประเคนแล้วมรณภาพ
๓. รับประเคนแล้วลาสิกขา
๔. รับประเคนแล้วต้องอาบัติปาราชิก
๕. รับประเคนแล้วให้สามเณรหรือคฤหัสถ์
๖. รับประเคนแล้วให้เขาไปโดยไม่เสียดาย
๗. รับประเคนแล้วถูกแย่งชิงเอาไป
ยังมีอีกหลายประเด็นที่เราเขาใจแบบผิดกัน บางเรื่องอาตมาก็ได้เขียนบันทึกบอกญาติโยมไปแล้ว สิ่งที่เป็นความเข้าใจผิดเหล่านี้พระอาจารย์ท่านเรียกว่า บาปมรดก

๒๒.๑๒ วัดสุวรรณประสิทธิ์

บันทึกฐานยุตโต : การเรียน การศึกษาของพระ



๗ ส.ค. ๒๕๕๒

**เมื่อวานเป็นวันพระใหญ่ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๙ ช่วงเช้าออกเดินบิณฑบาตโยมถวายปัจจัยมาให้ทั้งสิ้น ๔๖๐ บาท เท่าที่จำได้อาตมาใช้เงินจำนวนนี้ซื้อน้ำดื่มขวดใหญ่ไปสองขวด น้ำแข๊งหนึงก้อน และอะไรอีกจำไม่ได้แต่
เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๖๐ บาท ที่เหลืออีกสี่ร้อยบาทอาตมาเอาใส่บาตรเงินใบใหญ่ในโบสถ์ทั้งหมดเป็นค่าน้ำค่าไฟ ที่สำคัญหน้าซองใบหนึ่งเขียนเอาไว้ว่าชำระหนี้สงฆ์ แต่ก็สบายใจขึ้นเมื่อได้นำเงินทั้งหมดชำระหนี้สงฆ์เป็นค่าน้ำค่าไฟไป สาธุ!

**เมื่อวานตอนสายพระอาจารย์กาญจน์เรียกพระใหม่สี่รูปรวมทั้งอาตมาให้ไปขนไม้ที่โยมเขาถวายให้วัด อาตมาแล้วพระอีกสี่รูปก็ห่มคลุมลงมาเรียบร้อยแต่รถยังไม่มา ไปสอบถามพระอาจารย์..ท่านก็บอกว่างั้นให้ไปรอบนห้องก่อนถ้ารถมาพร้อมแล้วจะประกาศให้ทราบอีกที อาตมาถอดเอาจีวรผึงลมและเอนหลังได้นิดหน่อยทางกองคลังก็ประกาศนิมนต์เรียกทันที อาตมาลงไปรูปสุดท้ายแต่ก็ยังไม่พร้อมเลย อีกทั้งจวนได้เวลาสิบโมงเช้าแล้วหมายถึงตอนสิบโมงครึ่งต้องขึ้นไปบนศาลา อาตมาก็เดินกลับขึ้นห้องทันทีไม่ไปขนไม้แล้ว กลับเข้าห้องสรงน้ำเตรียมลงศาลาดีกว่า อาหารที่โยมๆประเคนให้มาก็น่ากินทั้งนั้น พูดง่ายๆคืออิ่มเลยล่ะโยม ระหว่างที่ลุกขึ้นเพื่อเดินกลับขึ้นห้องชายจีวรไปเดินถ้วยแกงเลอะเทอะเลยทำให้อาตมาต้องรีบซักจีวรอย่างรวดเร๊วเพราะบ่ายสองต้องลงทำวัตรและฟังสวดปาติโมกข์ต่อ สักเที่ยงกว่าอาตมาก็รีบจำวัดทันทีไม่อย่างนั้นสวดมนต์และฟังปาติโมกข์ลำบากแน่ๆ

ไม่แน่ใจว่าเคยบอกโยมไปหรือยังว่าสวดปาติโมกข์คืออะไร การสวดปาติโมกข์คือการทวนศีล ๒๒๗ ข้อของพระเป็นภาษาบาลี ผู้สวดมีพระรุปเดียวที่ต้องขึ้นนั่งธรรมมาสน์ พระที่เหลือพนมมือรับฟัง สำหรับพระที่สวดเป็นระดับพระอาจารย์ที่ต้องท่องและสวดคนเดียวเป็นภาษาบาลีโดยใช้เวลาประมาณ ๔๐ นาที หลังจากนั้นท่านเจ้าอาวาสจะพูดคุย หรือ อาจจะมีเรื่องที่ต้องแจ้งให้พระลูกวัดรับทราบ ...จบจากนี้เป็นอันเสร็จพิธีแยกย้ายกลับกุฎิ

**พูดถึงภาษาบาลีทำให้อาตมานึกขึ้นได้ว่าควรจะเขียนเรื่องอะไรต่อไป ในช่วงเวลาเข้าพรรษาเป็นเวลา ๓ เดือน เป็นช่วงเวลาที่พระจะมีเวลาศึกษาเล่าเรียน อย่างพระบวชใหม่หรือนวกะ( ตั้งแต่บวชใหม่จนถึงห้าพรรษา) และเณรจะต้องเรียนนักธรรมตรีทุกรูปไม่มีข้อยกเว้น
ระดับการศึกษาและการเรียนของพระแยกง่ายๆดังนี้น่ะ
๑. นักธรรมดรี โท และเอก ตามลำดับ
๒. ภาษาบาลีเบื้องต้นจนถึงประโยค ๙ เป็นระดับสูงสุด ( ที่เราเรียกว่าเปรียญ ๑ –๙ นั้นเอง )
๓. อภิธรรมตั้งแต่ชั้นที่ ๑ ถึงชั้นที่ ๙
ทุกระดับการศึกษาต้องเรียนและสอบผ่านถึงจะได้เลื่อนไปเรียนในระดับที่สุงขึ้น เบื้องต้นพระใหม่และเณรทุกรุปต้องเรียนนักธรรมตรีและสอบให้ผ่าน ปีถัดไปในช่วงเข้าพรรรษาจึงจะเรียนนักธรรมโทและภาษาบาลีควบสองวิชาเลย
สำหรับพระรูปใดที่สอบไม่ผ่านนักธรรมตรีจะต้องเข้าเรียนใหม่เหมือนเดิมทุกประการ โดยการสอบนักธรรมตรีนั้นไม่มีการจำกัดระยะเวลาว่าจะต้องสอบให้ผ่านภายในกี่ครั้ง สามารถสอบกี่ครั้งก็ได้จนกว่าจะผ่านแต่จะต้องสอบผ่านให้เร็วที่สุดเพราะไม่อย่างนั้นจะเป็นการสร้างความกดดันให้ตัวเอง

สำหรับเณรที่เรียนอาจจะมีปัญหานิดหน่อยในเรื่องการอ่านและการเขียนเพราะโดยส่วนมากแล้วจะจบการศึกษาขึ้นต่ำคือประถมศึกษาปีที่ ๖ เณรบางรุปจบแค่เพียงป.๔ เอง แต่ถ้ามีความพยายามก็ไม่ใช่ปัญหาน่ะโยม
จากข้อมุลที่อาตมามีอยุ่ในมือภูมิหลังของผุ้บวชเรียนมาจากภาคอีสานมีมากเป็นอันดับหนึ่ง ภาคเหนืออันดับสอง ภาคกลาง ภาคใต้และภาคตะวันออกเป็นอันดับท้ายๆ เกินกว่าร้อยล่ะ ๙๕ บรรพบุรษและครอบครัวเป็นชาวนา

สาธุ
๒๒.๐๓ วัดสุวรรรประสิทธิ์



บันทึกฐานยุตโต : วันโกน ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๙



๕ ส.ค. ๒๕๕๒

** วันนี้เป็นวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน สิงหาคม พรุ่งนี้เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ วันพระใหญ่อีกหนึ่งครั้ง เช้าวันนี้หลังจากทำวัตรเสร็จเรียบร้อยอาตมาก็เข้าคิวเพื่อโกนหัว เสร็จเรียบร้อยหัวมันวับเหมือนพระบวชใหม่เลยโยม แต่ขอบอกก่อนน่ะว่าไม่ได้โกนเองน่ะ อาตมายังไม่เก่งถึงขั้นนั้นแต่ได้ท่านหม่องพระที่มีประสบการณ์ช่วยโกนหัวให้ อาตมาเป็นคิวที่สี่ ช่วงเช้าหลังโกนหัวอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยได้พักผ่อนนิดหน่อยหลังจากนั้นก็เป็นเวลาเพล หลังเพลอ่านหนังสือพิมพ์ไปนิดเดียวหลับไปเลยโยม ตื่นมาอีกทีก็บ่ายสองโมงกว่าเพราะว่าอากาศร้อน วันนี้อากาศร้อนอบอ้าวเหลือเกินถือว่าเป็นวันที่ร้อนที่สุดตั้งแต่จำพรรษามาเลยอยากให้ฝนตกจัง!!!

เอาล่ะวันนี้อาตมาจะเขียนถึงเรื่องอะไรดีเอ่ย หวังว่าเรื่องที่เขียนคงไม่น่าเบื่อนะเพราะอาตมาอยากจะเผยแพร่ความรุ้ความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องพุทธศาสนาให้โยมได้ทราบกัน บางเรื่องที่ปฏิบัติกันมาก็เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แต่ถ้าเรื่องไหนที่อาตมาเขียนไปแล้วโยมบางท่านมีความรุ้ความเข้าใจอยุ่แล้วก็ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความรุ้กันนะโยม

เรื่องที่จะเขียนนี้อาตมาจดมาจากการบรรยายของพระมหาทองรัก เกี่ยวกับกรรมให้ผลต่างกัน ๑๔ ประการ จัดได้ ๗ คุ่ดังต่อไปนี้
๑. คนที่มี่อายุยืน เพราะว่าไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
๒. คนที่มีโรคน้อย เพราะว่าไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่รังแกสัตว์
๓. คนที่สวย หล่อ ผิวพรรรณดี เพราะไม่มีความอาฆาตพยาบาท
๔. คนที่มียศฐาบรรดาศักดิ์ เพราะว่าไม่มีความอิจฉาริษยา
๕. คนที่ร่ำรวย มีบริวารมาก เพราะว่าบริจาคทานสม่ำเสมอ อีกทั้งยังชักชวนผุ้อื่นอีกด้วย
๖. คนที่เกิดมามีชาติตระกูลสูง เพราะว่ามีความอ่อนน้อมถ่อมตน
๗. คนที่มีปัญญา เพราะว่าคบค้าสมาคมกับคนดี หรือ กัณลยาณมิตร หรือ บัณฑิต
ถ้าโยมๆชาติหน้าอยากเกิดมามีครบทั้งเจ๊ดข้อเบื้องต้นก็ต้องปฏิบัติให้ได้ครบและอย่างสม่ำเสมอนะ รับรองว่าผลของการประกอบคุณงามความดีจะส่งผลทั้งชาตินี้และชาติหน้าอย่างแน่นอน

๒๑.๒๐ วัดสุวรรณประสิทธิ์
ปล. รูปนี้ถ่ายล่าสุดเมื่อวันโกน ขึ้น ๑๕ ค่ำ ที่ผ่านมา



บันทึกฐานยุตโต: ครบรอบหนึ่งเดือน



๔ ส.ค. ๒๕๕๒
** เช้าวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๒ เป็นวันครบรอบบวชหนึ่งเดือนของอาตมา เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆ
เช้านี้ตื่นนอนมาตอนตีห้า..โชคดีที่ท่านตึ้งที่อยุ่ห้องเบอร์หนึ่งมาปลุกไม่งั้นคงหลับยาวแน่เลย ตื่นขึ้นมาก้อรีบลุก
ขึ้นอาบน้ำ ห่มจีวรเตรียมออกเที่ยวบิณพบาตตามปกติเช่นทุกวัน แต่วันวันตอนที่ลงสวดมนต์ทำวัตรเช้า ง่วงนอนมาก ขนาดว่าสวดมนต์ยังเกือบหลับนะโยม กลับขื้นมาที่ห้องรีบจำวัดทันทีตื่นมาก้อประมาณสักสิบโมงครึ่ง ยังพอมีเวลาเหลือก่อนเพล อาตมาก็รีบซักสะบง จีวรและอังสะ ๓ ตัว แล้วก็ฉันเพล หลังจากนั้นก็เข้าห้องนอนอ่านหนังสือนิดหน่อยแล้วก็หลับจำวัดไปอีกรอบ....ตื่นมาอีกทีประมาณสามโมงครึ่ง สรุปวันนี้จำวัดพักผ่อน ชาร์ตแบตเต็มที่เลยรุ้สึกสดชื่นเหมือนยืนอยุ่บนยอดเขาเลย ลืมบอกไปว่าสามวันนี้งดเรียนเพราะมีคณะนักเรียนมาเข้า
ค่ายธรรมะที่วัด...สบายไปได้พักกันเต็มเหยียดก่อนที่เริ่มเรียนใหม่หลังวันพระที่ ๖ ส.ค. ๒๕๕๒

**โยมรุ้ใช่ไหมว่าเราทุกคนล้วนมีกรรมดีและกรรมชั่ว ส่วนผลขอกรรมดีและกรรมชั่วที่เรียกว่าวิบากกรรมนั้นเป็นที่สะสมของกรรมดีและชั่ว วิบากกรรมนี้พระอาจารย์บอกว่าจะแสดงก่อนที่เราจะเสียชีวิต ถ้าเราประกอบ
กรรมดีไว้มากหรือพอสมควรก่อนจะหมดลมหายใจวิบากกรรมตัวนี้จะมาแสดงผลทำให้เราคิดแต่สิ่งดีๆที่เราทำไว้...ตายไปก้อได้ขึ้นสวรรค์ แต่ถ้าเราทำกรรมชั่วสะสมเอาไว้มากกว่ากรรมดีผลก้อจะออกมาในทางตรงกันข้าม
วิบากกรรมสามารถที่จะส่งผลต่อชีวิตเราระหว่างที่ยังมีชีวิตอยุ่ด้วยน่ะโยม

พระอาจารย์ท่านเปรียบกรรมชั่วเหมือนตะกอนที่นอนก้นอยุ่ในโอ่ง ส่วนกรรมดีเปรียบเหมือนน้ำที่อยุ่ในโอ่ง
ถ้าน้ำในโอ่งมากจนเต็มตัวตะกอนหรือความชั่วก็จะถูกกดทับเอาไว้ข้างใต้ไม่สามารถจะขึ้นมาทำให้น้ำขุ่นมัวได้
แต่ถ้าน้ำในโอ่งน้อยหรือน้อยมากจนถึงชั้นของตะกอน ตะกอนนั้นก็จะสามารถลอยขึ้นมาปะปนกับน้ำที่สะอาดได้ เพราะฉะนั้นโยมก็ลองพิจารณาดูแล้วกันว่าอยากจะให้ตะกอนอยุ่ในสภาพเช่นไร แต่อาตมาว่าหมั่นเติมน้ำในโอ่งให้เต็มอยุ่บ่อยๆจะดีกว่า ตะกอนจะได้นอนจมอยุ่ข้างใต้

แต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่มนุษย์ทุกคนมีวิบากกรรมเราไม่สามารถจะหลีกหนีตัวนี้ไปได้พ้น จะต้องเจอกันถ้วนทั่วทุกคนเลย

เจริญพร
๒๒.๐๗ วัดสุวรรรณประสิทธิ์

ปล.วันนี้บิณฑบาตอาตมาได้ปัจจัยมาทั้งสิ้น ๒๕๐ บาท แต่เมื่อตอนทำวัตรเย็นอาตมานำเงินทั้งหมดใส่เป็นค่าน้ำและค่าไฟของวัดเรียบร้อย
รูปด้านบนเป็นบางส่วนของเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ทำงาน ที่มาร่วมงานวันอุปสมบทอาตมา สาธุ

บันทักฐานยุตโต:กิจสงฆ์ ๑๐ ข้อและอานิสงฆ์ของการให้ทาน



๓ ส.ค. ๒๕๕๒

**เมื่อวานลืมบอกโยมไปว่า.. อาตมาได้รับเงินกัณฑ์เทศน์เรียบร้อยแล้วเมื่อวานนี้ตอน
เย็นหลังจากที่กวาดวิหารลานเจดีย์เสร็จ จำนวนเท่าไหร่รุ้ไหม ๕๐๐ บาท อันที่จริงจำนวนเงินไม่สำคัญหรอกแค่บอกกล่าวให้โยมรับทราบเท่านั้นเอง
เช้านี้อาตมาก้อฝากให้โยมแม่เรียบร้อยแล้วตอนที่เดินบิณฑบาตพร้อมกำชับให้โยมแม่เอาไปเก็บไว้ที่หิ้งพระถือว่าเป็นเงินก้นถุงที่สำคัญ จริงๆแล้วเงินก้อนนี้อาตมาก็ไม่ตั้งใจที่จะเอาไปใช้หรอกน่ะ เก็บเอาไว้เป็นสิริมงคลกับชีวิตนั้นแหละ
เพิ่มเติมข้อมุลอีกนิดน่ะโยมคือเรื่องกิจ ๑๐ อย่างของสงฆ์
๑. ลงอุโบสถ
๒. บิณฑบาตเลี้ยงชีพ
๓. สวดมนต์ไหว้พระ
๔. กวาดอาวาสวิหารลานเจดีย์
๕. รักษาผ้าครองคือ สบง ไตร จีวร
๖. อยู่ปริวาสกรรม ( หลังออกพรรษาเป็นพิธีล้างกรรมของพระ )
๗. โกนผมปลงหนวดตัดเล๊บ
๘. ศึกษาสิกขาบทและปฏิบัติพระอาจารย์
๙. เทศนาบัติ
๑๐.พิจารณาปัจจเวกขณะทั้งสี่

ถือว่าอาตมาก็ปฏิบัติได้พอสมควรน่ะถ้าพิจารณาจากสิบข้อเบื้องต้น....

**ข้ามมาอีกเรื่องน่ะโยมเกี่ยวกับการให้ทานหมายถึงอานิสงฆ (ผลของความดี) ที่ต่างกันของการให้ทานมีด้วยกัน ๔ ประการ

๑.คนประเภทตระหนี่ทาน ชาติหน้าเกิดใหม่เป้นคนรวย แต่ไม่มีทายาทไว้สืบสกุล

๒.ชวนคนอื่นทำทาน แต่ตัวเองไม่ทำ ชาติหน้าเกิดใหม่ยากจนข้นแค้น ไม่มีที่อยุ่อาศัย ไม่มีแม้กระทั่งเสื้อผ้าใส่ แต่ทายาทหรือลูกเพียบ

๓.ชวนคนอื่นทำทานและตัวเองทำด้วย ชาติหน้าเกิดใหม่ร่ำรวยและมีทายาทบริวารลูกหลานเย่อะ

๔.ไม่ชวนใครทำทานเลยและยังติเตียนผุ้อื่นที่ทำทาน ชาติหน้าเกิดใหม่ยากจนข้นแค้นอย่างแสนสาหัสประเภทไม่มีข้าวจะกิน ไม่มีทายาท ไม่มีลูกหลาน ไม่มีบริวาร

ชาติหน้าอยากเกิดเป็นแบบไหนก็เลือกเอาน่ะโยม รักออกแบบไม่ได้ แต่การทำบุญทำทานออกแบบให้ได้สำหรับการเกิดใหม่ชาติหน้า ข้อมูลนี้อาตมาได้มาจากพระอาจารย์วิทยากรท่านมาบรรยายให้ฟังที่วัด น่าสนใจก็จดไว้แล้วความรุ้ที่ได้มาเผยแพร่ต่อญาติโยมต่อๆไป ไม่สงวนลิบสิทธิ์น่ะโยมถ้าเห็นว่ามีประโยชน์สามารถนำไปบอกต่อๆกันได้

เจริญพร
๒๒.๒๕ วัดสุวรรณประสิทธิ์

บันทึกฐานยุตโต: กลับสู่ชีวิตพระตามปกติ


๒ สิงหาคม ๒๕๕๒
** หลังจากวันที่ ๒๙ ก.ค. เป้นต้นมาชีวิตพระนวกะก็กลับเขาสู่ภาวะปกติ อีกทั้งการเทศน์ก็ผ่านไปเรียบร้อย
เป็นที่น่าพอใจ เพราะฉะนั้นทุกวันนี้เช้ามืดตื่นนอนแล้วออกไปเที่ยวบิณฑบาตร ฉันอาหารเช้า ลงโบสถ์ทำวัตรเช้า
ว่างพักผ่อนแล้วก็ฉันเพล บ่ายโมงเริ่มเรียนพุทธประวัติพระพุทธเจ้า สี่โมงเย็นกวาดวิหารลานเจดีย์ ห้าโมงครึ่ง
ลงโบสถ์นั่งสมาะและทำวัตรเย็น หนึ่งทุ่มถึงสามทุ่มเรียนวินัยหรือกฎหมายของสงฆ์ ๒๒๗ ข้อ เลิกเรียนพักผ่อนและเข้านอนตอนสี่ทุ่ม เช้าตื่นขึ้นมาก้เหมือนเดิมเป้นอย่างนี้ทุกวัน
**เช้าวันวันหลังจากทำวัตรเสร็จอาตมาก็เดินไปที่กองคลังเพื่อแจ้งเรื่องที่จะไม่ออกกิจนิมนต์ทุกกรณี แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงจะแจ้งให้ทางวัดทราบอีกที เพราะฉะนั้นชีวิตตอนนี้ก้อมุ่งปฏิบัติกิจของสงฆ์ และเรียนหนังสือ ไม่ต้องคอยกังวลว่าเมื่อไหร่ทางกองคลังจะประกาศชื่อผ่านทางไมโครโฟนแจ้งเรื่องกิจนิมนต์ถือว่าสบายใจไปได้ในเรื่องนี้ จะได้มีสมาธิทำอย่างอื่นต่อไป
**สำหรับเรื่องที่ค้างเอาไว้คราวที่แล้วเกี่ยวกับกับการหักเงินของพระทุกรูปที่มีกิจนิมนต์ทั้งในวัดและนอกวัดจำนวน ๓๐ เปอร์เซ็นต์ หลังจากที่สอบถามพระอาจารย์ไพบุลย์ก็ทราบว่าตัดเป้นค่าใช้จ่ายในวัด อาทิ ค่าน้ำ ค่าไฟ และอื่นๆ แต่ก็มีเหมือนกันที่พระบางรูปเมื่อได้รับเงินแล้วไม่เดินไปที่กองคลังเพื่อให้ทางวัดหักเปอร์เซ็นต์
**ความรุ้ที่ได้จากเรียนวินัยหรือกำหมายสงฆ์ ๒๒๗ ข้อ ทำให้ได้ความรุ้ใหม่ขึ้นมากเลย ทำให้ทราบว่าการเป้นพระที่ปฏิบัติได้ถูกระเบียบวินัยทุกข้อทำได้ยากมาก แต่ก้อมีน่ะโยมที่พระบางรุปสามารถทำได้ อาทิ
เรื่องเงินแค่พระรับเงินก้อผิดวินัยแล้วแต่ไม่ร้ายแรงสามารถสารภาพหรือทางพระเรียกว่าปลงอาบัติได้ หรือ
เรืองเมื่อโยมตักบาตรแล้วพระสวดมนต์ให้พรก็ถือเป็นอาบัติอีกข้อ หรือ
โยมตักบาตรแต่ไม่ได้ถฮดรองเท้าพระก้ออาบัติ หรือ
ถ้าใช้ให้คนอื่นที่ไม่ใช่ญาติทางสายเลือดซื้อของหรือวานให้เขาทำกิจธุระของพระ ข้อนี้พระก็อาบัติ ยกเว้นถ้าโยมคนนั้นปวารณาเป้นโยมอุปัฐฐาก หรือ
ถ้าพระไปเกี่ยวข้องกับการซื้อขายแลกเปลี่ยนโดยมีเงินทองเข้ามาเกี่ยวข้องพระก็อาบัติ ทางออกคือไม่ว่าจะทำอะไรเกี่ยวกับเงินทองให้ญาติทำให้ดีที่สุด แต่อาตมาว่าคงจะยากน่ะ
อาจารย์ที่สอนวิชาวินัยชื่ออาจารย์สมบัติ ตอนนี้กำลังศึกษาปริญญาโทและกำลังทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับประวัติพระพุทธเจ้า เรื่องที่สอนอาจารย์เก่งมาก สุดยอดเลยโยม
**วันสุดท้ายของการอบรมพระนวกะเมื่อวันที่ ๒๙ ที่ผ่านมา หลวงพี่โกวิทได้สอบถามวิทยากรพระอาจารย์ว่า " นิพพานคืออะไร" คำตอบทีได้คือพระอาจารย์
ยกตัวอย่างหลอดไฟที่เปิดอยุ่มันสว่างใช่ไหมโยม แต่พอปิดหลอดไฟก้อมืดความหมายคือความว่างเปล่า นั้นคือคำตอบสุดท้าย
อีกข้อที่อาตมาเรียนถามพระอาจารย์ไปว่า " หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วยังมีพระรุปอื่นอีกไหมในสมัยปัจจุบันที่ถึงขั้นนิพพานแบบพระพุทธเจ้า "
คำตอบคือในบ้านเราก้อมีพระหลายรุปเหมือนกันแต่ไม่ค่อยเป้นข่าว ข้อสังเกตุตือหลังจากที่ละสังขารแล้วร่ายทั้งหมดไม่เปื่อย ไม่เน่า หรือถืงแม้ว่าจะมีการเผาแล้ว
แต่ร่างการทั้งหมดไม่ได้กลายเป้นอัฐิเหมือนคนทั่วไป...นั้นแหละเปนพระอริยสงฆ์ที่เข้าถึงนิพพาน
อาตมาหวังว่าบันทึกฉบับนี้อย่างน้อยก้อให้ความรุ้ ให้ความเข้าใจแก่ญาติโยมได้บ้างไม่มากก้อน้อย
เจริญพร
๒๒.๑๓ นวกะห้องเบอร์สี่ วัดสุวรรณประสิทธิ์
ปล.ภาพประกอบฉบับนี้เป้นรุปรวมบรรดาญาติๆของอาตมา แต่มากันไม่ครบทุกคนหรอกเพราะว่าวันงานบางส่วนติดภาระกิจกัน

บันทึกฐานยุตโต : เตือนตนให้เป้นคนดี



๓๑ ก.ค. ๒๕๕๒


**เมือวานวันที่ ๓๐ เป็นวันที่อาตมาต้องขึ้นเเทศน์เนื่องในวันพระ ตอนเช้ามาก้อตื่นนอน สรงน้ำ และออกบิณฑบาตร

ตามปรกติ แต่เพราะเป้นวันพระจึงมีญาติโยมออกมาตักบาตรมากกว่าทุกวันแต่ยังดีที่มีรถส่งอาหารที่โยมถวายมาให้ที่วัด

แต่ถึงกระนั้นเลยญาติโยมก้อตักข้าวใส่บาตรกันเย่อะพอสมควรประมาณสักครึ่งบาตรได้ อาตมารุ้สึกปวดหลังอันที่จริงก้อ

เริ่มปวดทีละนิดจนมาถึงวัดจึงรุ้สึกว่าไม่ไหวแล้ว หลังจากคัดแยกอาหารที่จะฉันตอนเช้าก้อเดินขึ้นมาที่พักชั้นสี่ นั่งพักผ่อน

สักหน่อยพอให้หายเหนื่อยก้อเริ่มฉัน ท้องตึง ลมพัดเย็นสบาย เคลิ้มดีทีเดียว ...


เสียงระฆังเป้นสัญญาณลงทำวัตรเช้าในโบสถ์ก้อดังขึ้น แต่เมื่อวานอาตมาไม่ได้ลงไปทำวัตรเช้าน่ะเพราะต้องการจะทบทวนลำดับขั้นตอนและเนื้อหาที่เทศน์ เป้นการเตรียมความพร้อมครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นขอเอนหลังพักผ่อนสักหน่อยตั้งเวลาปลุกเอาไว้ตอน ๐๙.๑๕ แล้วก้อลุกขึ้นสรงน้ำเพื่อให้ร่ายกายสะอาดและเพื่อความสดชื่น อุปกรณ์ทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมไม่จะเป้นบาตร ช้อนส้อม ทิชชู ถุงพลาสติกเอาไว้ใส่เศษอาหารตอนเพลและที่ลืมไม่ได้คือหนังสือมนต์พิธีที่ต้องน้ำญาติโยมสวดกับเรื่องที่ต้องเทศน์ " การเตือนตนให้เป้นคนดี " สำหรับการนุ่งห่มจีวรก้ได้ท่านปุ่นและท่านตุ้ยมาช่วย มื่อทุกอย่างพร้อมก้อเดินลงไปอย่างมั่นใจ มุ่งหน้าไปที่ศาลา


ระหว่างที่จะเดินขึ้นศาลาก้อได้ยินเสียงนิมนต์พระที่จะขึ้นเทศน์ อาตมาเดินผ่านประตุศาลาใช้สายตากวาดมองญาติโยมทุกคนเท่าที่จะทำได้ วางบาตร หนังสือมนต์พิธีและใบลาน กราบพระสามครั้งอย่างตั้งใจ เมื่อทุกอย่างพร้อมอาตมาก้อเดินตรงไปที่ธรรมมาสน์ ก้าวขึ้นบันไดธรรมมมาสน์อย่างช้าๆ นั่งพับเพียบเรียบร้อย จัด ไมค์โครโฟน ในขณะนั้นญาติโยมก้อเริ่มอาราธนาศีล รอบที่หนึ่งผ่านไป รอบที่สองผ่านไป พอถึงรอบที่สามทันทีที่ได้ยินคำว่า " ทุติยัมปิ" อาตมาก้อใช้มือขวาเอื้อมไปหยิบตาลปัตรขึนมาทันที พอจบบทที่สามอาตมาก้อขึ้นน้ำและญาติโยมว่าตาม เริ่มด้วย " นโม สามจบ " ตามด้วยบท " พุทธัง สะระณัง คัทฉามิ สามเที่ยว " แล้วต่อด้วยอุโบสถศีลหรือศีล ๘


หลังจากนั้นอาตมาก็สวดต่อรุปเดียวไปอีกนิดหน่อย หลังจากนั้นก็กล่าวว่า" เจิรญพร ญาติโยมและสาธุชนทั้งหลายที่มาทำบุญในวันพระวันนี้ วันนี้อาตมาภาพจะแสดงพระธรรมเทศนาในหัวข้อเรื่อง การเตือนตนให้เป้นคนดี ขอให้ญาติโยมตั้งใจสดับรับฟังตามสมควรแก่เวลาต่อไป " แล้วอาตมาก้อสวดบทนโม ๕ ชั้น " นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุธธัสสะนะโมตัสสะ....." จบบทนี้ก้อ

เริ่มเทศนาตามใบลานที่อยุ่มือทันที เทศนาไปอาตมาก้อไม่ลืมที่จะกวาดสายตามองไปที่ญาติโยมเป้นระยะ ไม่ได้ก้มหน้าก้มตาตะบี้ตะบันอ่านให้จบ ยิ่งไปกว่านั้น

อาตมาก้อใช้น้ำเสียงหนัก เบา ลากคำ เพื่อให้การเทศนาน่าสนใจไม่ราบเรียบน่าเบื่อ ทักษะด้านนี้ต้องขอบใจในอาชีพไกด์ที่ได้ทำมาเพราะสามารถนำมาใช้ได้

โดยตรง มือข้างหนึ่งถือใบลานอีกข้างวางไว้ที่หน้าตัก มีอยุ่บางจังหวะเหมือนกันที่พอเครื่องติดเกือบจะยกมืออีกข้างมาประกอบการเทศนาไปด้วย


ใช้เวลาไปสักพักไม่นานก้อจบการเทศน์แต่โยมรุ้ไหม ขาซ้ายชาไปหมด ไม่มีความรุ้สึกใดๆทั้งสิ้น รุ้แต่ว่าขามันใหญ่มาก ต้องนั่งต่ออีกสักพักแล้วค่อยลงมาจาก

ธรรมมาสน์อย่างช้าๆเพราะจีวรอาจจะไปเกี่ยวกับบันไดได้ อันที่จริงช่วงที่จะลงจากธรรมมาสน์อาตมาก้อเรียกโยมผุ้ชายคนหนึ่งที่นั่งหน้าธรรมมาสน์ว่าจะให้เขามาช่วยพยุงตอนลงหน่อย แต่เขาไม่ได้ยิน! ลงมาได้อาตมาก้อเดินโขยกเขยงตรงไปที่ฉันเพลทันที!


เมื่อวานโยมแม่ โยมน้องและโยมป้อก้อมาทันฟังอาตมาตอนนำสวดพอดี ก้อได้ทั้งสองโยมนี่แหละที่ช่วยกันถ่ายรูปและอัดวีดีโอสั้นๆเก็บเอาไว้เป้นที่ระลึก

แน่นอนโยมแม่ต้องเตรียมอาหารมาประเคนถวายด้วยเป้นขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้และลอดช่อง


เสร็จจากเพลก้อพูดคุยกับโยมแม่ โยมน้องและโยมป้อนิดหน่อย ประมาณว่าเช๊คเรทติ้งการเทศน์ คำตอบที่ได้ก้อเป้นที่น่าพอใจ แต่โดยส่วนตัวแล้ว

อาตมาค่อนข้างพอใจมากทีเดียวสำหรับการขึ้นเทศน์เมื่อวาน รุ้สึกมีความสุข มีความยินดีเป้นอย่างมาก อย่างน้อยก็ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ด้ขึ้นธรรมมาสน์เทศน์

ในขณะที่บวชเป้นพระ อานิสงฆ์ครั้งนี้อาตมาก้อขอเผื่อแผ่ให้ญาติโยมทุกคนด้วยเทอญ!


เจิรญพร ๑๓.๐๐ ห้องนวกะเบอร์สี่ วัดสุวรรรณประสิทธิ์


ปล. ที่นั่งบนธรรมมาสน์นั่งได้พอดีเลย คนที่อ้วนมากเกินไปคงไม่มีสิทธ์

สำหรับการนำสวดอาตมาก้อเปิดหนังสือน่ะโยม ยังไม่เก่งถึงขึ้นสวดปากเปล่าได้ ใช้จังหวะที่ยกตาลปัตรขึ้นมาตั้งข้างหน้า ตาก็ต้องเหลือบมองบทสวด

ที่วางด้านล่าง มองขนาดที่ว่าห้าม!!! อ่านผิดโดยเดีดขาด สรุปคือที่ยากของการเทศน์คือการนำสวดและนั่งพับเพียบเป้นเวลาไม่ตำกว่าครึ่งชั่วโมง



บันทึกฐานยุตโต: วันสุดท้ายของการอบรมแต่พรุ่งนี้ขึ้นเทศน์

๒๙ ก.ค. ๒๕๕๑

**วันนนี้ก้อเป้นการสิ้นสุดการอบรมพระนวกะในเขตลาดพร้าว - บึงกุ่มจำนวน ๑๕๕ รูป พร้อมกับรับประกาศนียบัตรซึงประธานในพิธีคือ
รองเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร นี้ถือว่าเป้นใบประกาศใบแรกที่ได้จากการบวชคงต้องเอาใส่กรอบเก็บเอาไว้เป้นที่ระลึกที่บ้านล่ะโยม!
หลังเสร็จสิ้นการอบรมก้อต้องขึ้นมาเปลี่ยนชุดเพื่อปัดกวาเชีดถู ทำความสะอาดศาลาสำหรบวันพระพรุ่งนี้ ไม่ทันหายเหนื่อยเสียงระฆังก้อดังขึ้น
เป้นสัญญาณบอกว่าได้เวลาลงโบสถ์ทำวัตรเย็น เหงื่อไม่ทันแห้งเลยโยม! ต้องรีบอาบน้ำชำระเหงื่อไคล้ออกให้หมด ไม่งั้นเข้าไปสวดมนต์ในโบสถ์
ไม่มีสมาธิแน่ วันนี้ช่วงบ่ายโปรแกรมแน่นเอียดเพิ่งจะได้มีเวลาพักนี่แหละ ! เมื่อตะกี้ก้อเพิ่งไปทวนบทสวดที่ต้องนำญาติโยมสวดและขั้นตอนอีกครั้ง
เพื่อความแน่ใจและมั่นใจ ยังไงก้อจะทำเต็มที่ เต็มความสามารถ จะผิดจะพลาดอย่างไรค่อยว่ากันอีกทีหลังจากนั้น แต่อาตมาไม่คิดมากหรอกเพราะทุกอย่าง
ต้องมีการเริ่มต้น ความผิดพลาดย่อมมี ย่อมเกิดขึ้นเป้นธรรมดาแต่จะให้พลาดน้อยที่สุด แต่ไอ้ที่น่ากลัว น่ากังวลคือการนั่งพับเพียบเป้นเวลาอย่างน้อย
ครึ่งชั่วโมงนี่สิ ลองนั่งมาแล้วตอนสวดมนต์ในโบสถ์ ผลเป้นไงน่ะเหรอ...เหน๊บกินขาซ้ายหมดความรุ้สึกไปเลย เมื่อตอนเย็นก้อแอบแหย่พระอาจารย์ไปแล้วว่า
หลังเทศน์เสร็จถ้ายังไม่ลงจากธรรมมาสน์จนผิดสังเกตแสดงว่าเหน๊บกินลงไม่ได้ต้องช่วยกันหามลงมา
สำหรับบทสวดคงเอาหนังสือไปกางแหละโยม ไม่อยากอวดเก่งเพราะมันจะเละเป้นโจ๊ก ทำตามกำลังความสามารถของเราเป้นดีที่สุด!!!

ระหว่างการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมีตากล้องประจำวัดถ่ายรูปให้ด้วย ไม่ฟรีน่ะ! ต้องเสียเงิน วันนี้ไปแว่บๆดูรูปมาหน่อยหนึ่ง พรุ่งนี้มีเวลาจะลงไปคัดเอารูป
สวยๆเก็บใส่กรอบเอาไว้เป้นที่ระลึก

ตลอดเจ๊ดวันที่ผ่านมาของการอบรมอาตมาได้รับความรุ้ใหม่ๆมาพอสมควร จะทยอยถ่ายทอดให้โยมๆก้นน่ะ พรุ่งนี้เป้นวันพระหมายถึงวันหยุดของพระ!!
ขำๆๆน่ะโยม แต่วัดอาตมายังต้องออกเดินบิณฑบาตรตามปกติไม่หยุดคือเดินบิณฑบาตรกันทุกวันจนกว่าจะมีคำสั่งจากเจ้าอาวาสว่าวันไหนหยุด นั้นแหละถึงจะ
ได้หยุด! ตอนนี้ซ้นเท้าอาตมาก้อแตกและแข๊งสวยงาม เท้าแข๊งและหนาขึ้นมาก แต่หน้าบางลงไปเย่อะ....ตีนหนา แต่หน้าบาง
หัวเขาที่ผ่านการคุกเข่านั่งสวดมนตืมาเกือบเดือนก้อด้านแล้วด้านอีก... คอที่ต้องพาดสายบิณฑบาตรทุกวันก้อมีร่องรอยทิ้งค้างเอาไว้ให้เห็น !!
ของเหล่านี้ถือเป้นของฝาก ของขวัญชิ้นดีทีเดียว หลวงพี่บางรูปน่ะท่านเจ๊บคอต้องเอาผาผืนเล๊กมารองกันสายบาตรเอาไว้จะได้ไม่เจ็บต้นคอและไม่เป้นรอย
แต่อาตมาไม่สนเพราะยังไงมันก้อต้องผ่านพ้นไปจนได้ จากวันแรกที่เจ๊บ ที่ปวดเสบปวดร้อน จนไม่มีความรุ้สึกเพราะว่าชินแล้ว แต่ร่องรอยยังมีให้เห้นอย่าง
ชัดเจน!!!

ช่วงนี้รู้สึกปวดหลัง เมื่อยขาเหมือนมันจะตึง พุร่งนี้วางแผนว่าจะนวดเพราะมีโยมคนหนึ่งที่วัดนวดฝีมือดีมาก คงจะต้องลองสักหน่อย ไม่ต้องห่วงโยม!!
หมอนวดเป้นผุ้ชายอายุพอสมควรแล้วล่ะ

เป้นพระใหม่หรือพระนวกะนี่หมายถึงต้องแต่ ๑ - ๕ พรรษาน่ะโยม หลัง ๕ พรรษาไปแล้วถึงจะได้ใบสุทธิหรือบัตรประจำตัวพระ ถึงแม้ว่าจะเป้นพระใหม่
ถ้าจะไปรพ.สงฆ์สามารถแจ้งให้ทางวัดออกใบรับรองให้ได้...ไปทำไมน่ะเหรอ อ้าวก้อเพราะว่ารักษาฟรีไงโยม ไม่ต้องเสียเงิน!! แต่อาตมายังไม่คิดจะมีกิจ
ไปเที่ยวโรงพยาบาลหรอกน่ะ! ร่างกายยังแข๊งแรงดีทุกประการ น้ำหนักปัจจุบันอยุ่ที่ ๖๕ - ๖๖ กิโลกรัม

เจริญพร ๒๐.๔๖ ห้องนวกะเบอร์สี่ ชั้นสี่ ตึกวิปัสสนา วัดสุวรรณประสิทธิ์

บันทึกฐานยุตโต: นับถอยหลังก่อนขึ้นเทศน์

๒๘ ก.ค. ๒๕๕๒

**วันนี้เป้นวันจันทร์ที่ ๒๘ เหลือเวลาอีกไม่กี่วันอาตมาก้อจะต้องขึ้นธรรมมาสน์เทศน์แล้วน่ะโยม !
เมื่อตอนหัวค่ำอาตมากราบเรียนอาจารย์ขอซ้อมใหญ่กับอาจารย์คืนวันพรุ่งนี้ตอนหัวค่ำ จะเป้นการซ้อมก่อนขึ้นจริง
เมื่อสักครู่ก้อโทรคุยกันโยมน้องทราบว่าในวันนั้นโยมน้องจะลางานพาโยมแม่มาฟังอาตมาเทศน์
แน่นอน! อาตมาไม่ลืมที่จะกำชับให้เอากล้องถ่ายรูปมาด้วยเพื่อเก็บเอาไว้เป้นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งในชีวิตขณะที่บวชเป้นพระ
ที่วัดจะมีพระใหม่ขึ้นเทศน์ทุกปี ในชีวิตขณะที่เป้นพระจะมีสักกี่ครั้งที่จะได้มีโอกาสทำเช่นนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป้นพระใหม่ที่ตั้งใจบวชเพียงพรรษาเดียว ยังไงอาตมาจะเอารุปมาฝากญาติโยมทุกคนน่ะ!

**วันนี้เป้นวันที่สามที่อาตมาเปลี่ยนเส้นทางการเดินบิณฑบาตรใหม่กับพระอาจารย์ไพบุลย์ เดินสบายขึ้นเย่อะเลยล่ะโยม
อาทิ ไม่ต้องออกบิณฑบาตรแต่เช้ามืดเพราะกับพระอาจารย์ไพบูลย์เริ่มออกเดินตอน ๐๕.๔๐ และกลับมาถึงวัดประมาณสักก่อนเจ๊ดโมงสักสิบนาที
ของที่ได้จากการบิณฑบาตรก้อไม่ต้องแบกกลับมาเองเพราะมีโยมขี่มอเตอร์ไซด์มาส่งให้ อีกทั้งเส้นการการเดินก้ไม่ไกลคือเดินตรงเข้าหมู่บ้านทันที
บ้านอาตมาอยุ่ซอยสิบ แต่บ้านอาจารย์อยุ่ซอยห้า เพราะฉะนั้นอาตมาก้อเดินมาถึงแค่ซอยห้าเท่านั้นแล้วก้เดินเป้นวงกลมหลังจากนั้นก้อเดินกลับวัดทันที
ลำบากโยมแม่หน่อยที่ต้องออกมายืนรออาตมาที่ซอยห้าแทนที่อาตมาจะเดินไปรับบาตรที่ซอยสิบหน้าบ้าน ก่อนหน้านี้เดินกับหลวงพี่เล๊กต้องรีบเดินให้ทันท่าน
แต่กับอาจารย์เดินสบายๆ ไม่ต้องรีบ อีกทั้งอาจารย์ก้อใจเย็น ใจดี ความรุ้สึกช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิง สรุปคือดีกว่าเดิมเย่อะเลยโยม

**ตั้งแต่วันที่ ๒๓ เป็นต้นมาจนถึงวันนี้การอบรมพระนวกะในเขตลาดพร้าว-บึงกุ่มเกือบจะจบแล้ว เหลือพรุ่งนี้อีกหนึงวันเท่านั้น
พรุ่งนี้ตอนบ่ายหลังจากวิทยากรบรรยายจบจะมีการแจกประกาศนียบัตรให้พระนวกะทุกรุป แล้วอาตมาจะเอามาอวดน่ะ
วิทยากรที่มาให้ความรุ้แต่ล่ะวันและเรื่องที่บรรยายก้อน่าสนใจทั้งนั้น แล้วอาตมาจะมาขยายอีกทีน่ะว่ามีเรื่องอะไรบ้าง เพราะว่าระหว่างที่ฟังบรรยาย
อาตมาก้อได้จดเอาไว้นิดหน่อยเพื่อประดับความรุ้ สำหรบวิทยากรนั้นมีดังนี้ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ ท่าเตียน , อ.สุรวงษ์ วัฒนางกูล นังปาฐกถาชื่อดัง ,
พระครุปลัด ผุ้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง สามพราน นครปฐม , พระครู เลขานุการรองเจ้าคณะจังหวัดนนทบุรี , ทนายวันชัย สอนศิริ จากรายการคนหัวหมอ ,
ดร.ผาณิต กันตามระ และพรุ่งนี้เป็นพระอาจารย์จากวัดสุทัศน์
เนื้อหาที่บรรยายมีหลายเรื่องที่น่าสนใจ เอาไว้ให้จบการอบรมอาตมาจะนำความรุ้ที่จะได้มาเผยแพร่ให้ญาติโยมได้ทราบกันทั่วหน้าเลยน่ะ
ในมุมมองของอาตมาเป้นเรื่องที่น่าสนใจมากที่เดียว นี้แค่ฉายหนังตัวอย่างของจริงจะตามมาเร๊ววันนี้

เจริญพร ๒๑.๐๖ ในห้องนวกะเบอร์สี่ ชั้นสี่ ตึกวิปัสสนา

บันทึกฐานยุตโต: ๓๐ ก.ค. ๒๕๕๒ ๑๐.๓๐ showtime!

๒๖ ก.ค. ๒๕๕๒

**อีกแล้วโยมวันพระที่ ๓๐ ก.ค. ที่จะถึงนี้อาตมาจะต้องขึ้นเทศน์เนื่องจากหลวงพี่ที่จะต้องขึ้นสัปดาห์นี้ยังไม่พร้อม อีกทั้งยังไม่แน่ใจว่าจะขึ้นเทศน์หรือเปล่า เมื่อตะกี้เพิ่งจะซ้อมกับพระอาจารย์นัฐเสร็จสดๆร้อนๆเลย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนหัวค่ำวันนี้ในขณะที่อาตมากำลังจะเดินไปสรงน้ำเพื่อพักผ่อนก็ได้ยินพระอาจารย์ถามหาพระป้ำ อาตมาเดินเข้าไปพร้อมยกมือไหว้พระอาจารย์ พระอาจารย์ถามว่าขึ้นเทศน์วันพระที่จะถึงไหวไหมเพราะท่านโตนขอผ่าน จะช้าจะเร็วก็ต้องโดนอยู่แล้วอาตมาอาตมานึกในใจก็ตอบรับท่านอาจารย์ไป สรงน้ำอย่างรวดเร็วและแต่งตัวเข้าไปซ้อมวิธีการและขั้นตอนการเทศน์กับพระอาจารย์ ในวันนั้นอาตมาต้องลงไปที่ศาลาเร็วกว่าปกติคือ ๑๐.๐๐ น. และขึ้นธรรมมาสน์ก่อน ๑๐.๓๐ น. เดินไปขึ้นธรรมมาสน์เองไม่ได้น่ะ! โยมต้องมานิมนต์ก่อน ซ้อมสวดอุโบสถศีลหรืิอศีล ๘ เพื่อให้โยมว่าตาม หลังจากนั้นก็เทศน์โดยการอ่านตามใบลาน...มีเวลาเพียงครึ่งขั่วโมง ถ้าได้ยินเสียงเคาะไมค์ตัองรีบจบเพราะนั้นเป็นสัญญาณว่าเกินเวลาแล้ว ปัญหามีสองอย่างคือต้องนั่งพับเพียบอย่างน้อย ๓๐ นาที เมื่อกี้นั่งไปสิบกว่านาทีขาชาไปเรียบร้อย! อีกปัญหาที่อาจารย์เตือนคือการลงจากธรรมมาสน์ต้องระวัง มิฉะนั้นจีวรอาจจะไปเกี่ยวกับธรรมมาสน์ได้!
ตอนทำงานเป็นไกด์ก็จับไมค์โครโฟนพูดให้ฝรั่งฟัง แต่คราวนี้บวชเป็นพระไม่คิดว่าจะได้จับไมค์อีกครั้งแต่เป็นการเทศน์แทน! ถือว่าเป็นความโชคดีที่ได้ขึ้นเทศน์ ถือว่าเป็นบุญกุศลที่มีโอกาสที่ดีเช่นกัน โอกาสมีไม่บ่อยเมื่อได้รับแล้วก็ต้องทำให้ดีทีสุด! อาตมาก็มีความรู้สึกสองอย่างน่ะคือตื่นเต๊นและดีใจ! ครั้งหนึ่งในชีวิตจริงๆ

เจริญพร! ๒๐.๕๐

ปล. ที่จริงมีเรื่องอื่นจะเขียนแต่เรื่องนี้แทรกเขามาก่อน ก็ต้องรีบแจ้งให้โยมๆทราบกัน เหลือเวลาอีกสามวันเท่านั้น! รับรองจะทำให้ดีที่สุด ทุกๆอย่างต้องมีการเริ่มต้น!

บันทึกฐานยุตโต:

๒๓ ก.ค. ๒๕๕๒

**เปลี่ยนสายเดินบิณทบาตร วันเสาร์ที่จะถึงนี้ถ้่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอาตมาคงจะต้องเปลี่ยนเส้นทางการเดินบิณทบาตรจากหลวงพี่เล็กเป็นพระอาจารย์ประยุทธ เส้นทางที่เดินก็จะสั้นลงและแน่นอนโยมแม่ยังคงได้ตักบาตรเหมือนเช่นเดิมรวมทั้งโยมยายด้วย วันนี้ตอนเช้าช่วงที่เอาอาหารที่ได้จากการบิณทบาตามากองรวมและคัดเลือกสิ่งที่เราจะฉันเข้าและเพล อาตมาก็ได้แนะนำตัวกับพระอาจารย์เรียบร้อยแต่ไม่ได้เรียนพระอาจารย์ว่าจะย้ายมาเดินด้วย เรื่องนี้โยมลุงไสวที่อยู่ติดกับบ้านอาตมาจะคุยให้ในวัรพรุ่งนี้ตอเข้า ผลเป็นประการใดพรุ่งนี้ทราบโยม!

**วันนี้เป็นวันแรกของการอบรมเพิ่มเติมพระนวกะในเขตลาดพร้าว - บึงกุ่มจำนวนสิบวัด หรือพระประมาณ ๑๒๐ รูป เริ่มในเวลา ๑๓.๐๐ น. โดยพระอาจารย์ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพลได้บรรยายและอบรมพระใหม่เป็นเวลาสองชั่วโมงด้วยกัน
เวลา ๑๕.๐๐ - ๑๕.๓๐ น. พักเบรคเข้าห้องน้ำ ฉันน้ำปานะ
เวลา ๑๕.๓๐ - ๑๗.๓๐ น. ฝึกการนั่งสมาธิและเจริญวิปัสสนา หลังจากนั้นเป็นอันเสร็จสิ้นกิจกรรมวันแรก สำหรับวิทยากรผู้บรรยายจะมีการเปลี่ยนแปลงทุกวันโยมแต่รายการที่เหลือเหมือนเดิม ! ยังไม่จบโยมเสร็จการอบรมประจำวันแล้วต้องเข้าโบสถ์เพื่อสวดมนต์ทำวัตรเย็นต่อ...นี่แหละถึงจะเสร็จสิ้นทุกอย่าง ได้เวลากลับขึ้นห้อง..อาบน้ำ..ฉันกาแฟร้อนใส่โอวัลติน สบาย! ค่อยยังชั่วหน่อย..

**"พระอาจารย์เอกและการปริวาสกรรม" เรื่องของพระอาจารย์เอกอาตมาเพิ่งเคยจะะรู้จักท่านที่วัด ก่อนหน้านี้ท่านมาที่วัดครั่งหนึ่งแล้วแต่พักอีกตึกที่อยู่ติดกันในชั้นที่สาม แรกเริ่มอาตมารู้จักแต่ขื่อและหน้าตายังไม่มีโอกาสพูดคุย แต่รูกจักท่านผ่านการเล่าของท่านตึ้งพระนวกะห้องเบอร์หนึ่ง เมื่อวานซืนหล้งจากทำวัตรเช้าได้เจอท่านก็ได้แสดงความเคารพท่านพูดคุยกันสองสามคำเป็นภาษาใต้ ตกเย็นวันเดียวกันท่านขึ้นมาชั้นสี่เพื่อดื่มกาแฟที่ห้องท่านตึ้งเบอร์หนึ่ง นั้นแหละถึงได้มีโอกาสได้นั่งคุยกัน ก่อนพระอาจารย์เอกตะมาบวชเป็นพระ ท่านเคยรับราชการเป็นตชด.มาก่อนแต่ชะตาพลิกผันทำให้ท่านมาบวชเป็นพระ ปีนี้ก็จะเป็นพรรษาที่ ๑๑ สาเหตุที่ท่านขึ้นมาจำวัดที่นี้เพราะท่านต้องการเรียนอภิธรรมและท่านอาจารย์เอกก็จำวัดอยู่ที่ตึกพระที่เรียนอภิธรรมชั้นสาม

อันที่จริงท่านจำวัดอยู่วัดชายนา อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ( บ้านเดียวกับอาตมา) วัดนี้เป็นวัดที่จัดงานศพพ่อของอาตมาเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๒๘ และอัฐิของโยมพ่อก็เก็บเอาไว้ที่วัดนั้น ล่าสุดที่อาตมาได้มีโอกาสลงไปน่าจะประมาณห้าปีที่แล้วเรื่องด้วยงานทำให้มีโอกาสได้กลับไปไหว้โยมพ่อ ผลบุญครั้งนี้จากการบวชและสวดมนต์ทุกวันก็ส่งให้โยมพ่อด้วย

พออาตมาบอกเรื่องโยมพ่อไป ท่านอาจารย์ก็ถามนามสกุล
"ทิพรัตน์ ครับ" อาตมาตอบไป ท่านอาจารย์ก็นึกออก ก่อนออกพรรษาอาตมาคงตะฝากเงินให้อาจารย์ไปทำบุญให้โยมพ่อสักหน่อย

พระอาจารย์เอกบวบมา ๑๑ พรรษา เดินทางไปจำวัดต่างๆมามากมาย ทั้งมาเลเซีย จังหวัดทางใต้ ทางอีสาน ทางเหนือ ทางตะวันตก ท่านไปทั่วเลย มีประสบการณ์เล่าให้ฟังมากมาย รวมทั้งบทสวดมนต์ท่านก็แนะให้ว่าบทไหนควรจะสวดก่อนนอน ประสบการณ์บางเรื่อวที่ท่ารเล่าให้ฟังมันเหลือเชื่อจริงๆ สำหรับเรื่องปริสวาสกรรมท่านรับเป็นธุระที่จะเลือกสถานที่ให้ ท่านยังแนะนำอีกว่าหลังเสร็จพิธีปริสวาสกรรมถ้าใครอยากสึกให้สึกที่นั้นเลยเพราะเราจะบริสุทธิ์ที่สุดหลังพิธี อีกอย่างจะมีพระในโบสถ์ทำพิธีีสวดชะยันโตให้ประมาณ ๒๐ รูป ปกติถ้าสึกทั่วไปมีเพียง ๔ รูป ! ของดีๆ เรื่องดีๆ ยังทยอยเข้ามาเรื่อยๆ...ผีสาง เปรต เทวดา นางไม้ มีจริงหรือไม่? คิดกันเอาเองน่ะ

**ตั้งแต่เมื่อคืนก่อนนอนหลังจากที่ได้พูดคุยสอบถามประสบการณ์และได้รับคำแนะนำจากพระอาจารย์เอก อาตมาก็เริ่มสวดมนต์ก่อนนอน(อย่างจริงจังเป็นครั้งแรกก่อนนอน ตั้งแต่มาอยู่ที่วัดยังไม่เคยปฏิบัติเลย..) แผ่เมตตาและนั่งสมาธิก่อนนอน ตั้งใจจะปฏิบัติทุกคืนไม่ให้ขาด
สำหรับบทที่สวดก็เริ่มด้วยบทถวายพรพระ บทคาถาพาหุง
บทจัดธรรมะจักร บทชินนะบัญชร บทเมตตาและแผ่เมตตาเป็นบทสุดท้าย หลังจากนั้นก็ปฏิบัตินั่งสมาธิวันบะสิบนาทีแล้วค่อยๆเพิ่มปริมาณมากขึ้นๆเรื่อยๆ..ต้องหมั่นฝึกให้บ่อยๆผลที่ได้ก็ตัวอาตมาเอง อีกทั้งมีความจำเป็นต้องนำไปปฏิบัติอย่างเข้มงวดช่วงอยู่ปริวาสกรรม ๙ วัน ๙ คืน
ทุกครั้งหลังนั่งสมาธิต้องไหว้พระและแผ่เมตตา!! สำหรับโยมที่สนใจยทสวดมนต์สามารถนำไปปฏิบัติได้ แต่ถือแค่ศีล ๕ หรือ ศีล ๘ ก็พอ หนังสือที่ใข้สวดชื่อ"มนต์พิธี" เล่มสีเหลือง เริ่มด้วยหน้า ๑๒๘-๑๓๑ , ๘๖ , ๑๖๘
๓๑ และหน้า ๒๗๓

เจริญพร
๒๔ ก.ค. ๒๕๕๒ ๑๐.๑๐

บันทึกฐานยุตโต:

๒๒ ก.ค. ๒๕๕๒

**วันนี้เป็นวันพระใหญ่ครั้งที่สองหลังจากวันเข้่าพรรษาที่ผ่านมา เช้านี้ญาติโยมก็ออกมาตักบาตรกันหนาตากว่าปกติ โชคดีที่ฝนไม่ตก
เมื่อวานฝนตกตั้งแต่เข้ามืดนึกว่าจะไม่ได้ไปบิณฑบาตรแล้ว แต่ฝนมาหยุดเอาตอนเกือบตีห้าครึ่ง ครั้งแรกที่เดินบิณทบาตรแล้วฝนตก เท้ายังไม่แตกมากเดินต้องคอยระวังเพราะว่าลื่น แต่เมื่อวานพัฒนาขึ้นมาอีกระดับสามารถเดินได้เร็วมากขึ้นกว่าเดิม..ต้องเรียกว่ามีพัฒนา

เมื่อวานตอนช่วงสายและบ่ายสามโมงต้องจัดเตรียมสถานที่สำหรับการปฐมนิิเทศน์พระใหม่ในเขตบึงกุ่มสิบวัด ทั้งปัดกวาด เช๊ดถู ยกเก้าอี้ ยกโต๊ะ ได้เหงื่อมาหลายหาบเลย ช่วงเพลหลังฉันอาหารเสร็จนอนหลับอย่างหมดแรง อีกทั้งฝนตกทำให้จำวัดสนิทนิ่ง ตืืนมาอีกทีบ่ายโมงกว่าๆ แล้วก็ลงไปทำความสะอาดศาลาชั้นล่าง เสร็จแล้วขึ้นทำความาะอาดศาลาชั้นบน! เมื่อคืนหลับสนิทเลย!

**เช้านี้หมายถึงวันที่ื๒๒ วันพระใหญ่ของที่ได้จากการบิณทบาตรเย่อะมาก เดินกลับไม่ไหวเช่นเคยต้องรบกวนให้โยมน้องมาส่งที่วัดตามเคย!

ช่วง ๑๐.๓๐ ลงศาลาเพื่อฉันเพล ของหวานทีเด็ดมากเป็นข้าวเหนียวทุเรียน! หลังเพลรีบขึ้นมาจำวัดเพราะรู้สึกเพลีย ตื่นมาอีกทีเกือบบ่ายสอง ล้างหน้าล้างตาแต่งตัวเตรียมลงโบสถ์ตอน ๑๔.๓๐ เพราะเป็นวัดพระใหญ่ ก่อนเริ่มสวดอาตมาก็ถือธูปหนึ่งดอก กราบพระอาวุโสหนึ่งครั้งและเริ่มสวดบทปลงอาบัติ แล้วเข้าประจำที่นั่งเดิมเพื่อทำวัตร ประมาณบ่ายสามโมงกว่าพระทุกรูปในโบสถ์ต้องไปนั่งรวมกันหน้าพระประธาน พระอาจารย์ขึ้นธรรมาศน์เทศปาติโมกข์รูปเดียวสี่สิบนาที! หลังจากนั้าเจ้าอาวาสอบรมนิดหน่อยแล้วก็กราบพระเป็นอันเสร็จกิจ
ประมาณ ๑๖.๓๐ ได้เวลากวาดวิหาร ลานเจดีย์ และทำความสะอาดศาลาเช่นเคยคือปัดกวาด เช๊ดถูพื้น เตรียมอาสนะและสถานที่ให้พร้อมและสะอาดเพราะในวันรุ่งขึ้นคือ ๒๓ - ๒๙ ก.ค.นี้จะมีการอบรมและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกับอีกสิบวัดใรเขตร่วมกัน วัดที่อาตมาจำพรรษาคือวัดสุวรรณประสิทธิ์เป็นเจ้าภาพ มีหมายกำหนดการดังนี้

๑๓.๐๐ - ๑๖.๐๐ เริ่มอบรมพระใหม่โดยเจ้าอาวาสหรือพระครูจากวัดต่างๆ
๑๖.๐๐ - ๑๘.๐๐ ปฏบัติวิปัสสนากรรมฐาน
หลังจากนั้นแยกย้ายกลับวัด

เจริญพร!
๒๓ ก.ค. ๒๕๕๒ ๐๙.๓๑ น.

บันทึกฐานยุตโต: ความรู้ใหม่จากห้องเรียน!

๒๐ ก.ค.๒๕๕๒

**เรื่องการเทศน์ของอาตมามีการเลื่อนออกไปอีกหนึ่งวันพระ คือเป็นวันพระแรม ๘ ค่ำ เดือน ๙ แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งจะแจ้งให้ทราบอีกที สำหรับหัวข้อที่เทศน์อาตมาและพระใหม่อีก ๙ รูปต้องเทศน์เป็นไปตามใบลานที่ทางวัดเป็นผู้ให้เลือก สำหรับอาตมาได้หัวข้อ"เตือนตนให้เป็นคนดี"โดยมีเวลาเทศน์ไม่เกิน ๓๐ นาที แน่นอนต้องมีการซ้อมวิธีการเทศน์ก่อนกับพระอาจารย์นัฐเเพื่อความถูกต้อง ตอนนี้อาตมาก็เริ่มอ่านบ้างแล้ว ทำความเข้าใจในเนื้อหาทั้งหมดแล้วจะสรุปออกมาเพื่อเป็นการเข้าใจสำหรับญาติโยมที่มาถวายเพลวันนั้นและง่ายสำหรับตัวอาตมาเองด้วย ยังไงถ้าโยมๆว่างก็แวะมาฟังหน่่อยน่ะ! โอกาสอย่างนี้อาจจะมีเพียงครั้งเดียวในชีวิต!

**ที่อาตมาเคยกล่าวถึงการปริสวาสกรรมนั้นเป็นวิธีการล้างกรรมของพระ โดยทั่วไปกรรมก็มีกันอยู่ทุกคน แต่กรรมขณะที่บวชจะแยกกับกรรมที่เป็นฆราวาส เพราะในขณะที่บวชเป็นพระอาจทำผิดวินัยสงฆ์โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตามจำเป็นที่จะต้องล้างกรรมนั้นออกไปก่อนที่จะสึก โดยใช้ระยะเวลา ๑๐ วัน หลังจากนั้นจึงบาสิกขาบทได้ มิฉะนั้นกรรมต่างๆที่เราได้กระทำไปตอนเป็นพระจะคิดตัวออกมาด้วยทำให้การคิดจะทำการใดหรือทำสิ่งใดอยู่จะติดขัด ไม่ราบรื่น มีอุปสรรคต่างๆนาๆ อีกนิดน่ะโยม! วินัยหรือกฏหมายสงฆ์หรือศีลมีีทั้งหมด ๒๒๗ ข้อ แบ่งเป็น ๓ ระดับคือหนัก กลาง และเบา ในระดับกลางมีทั้งหมด ๑๓ ข้อถ้าทำผิดเข้าข้อใดข้อหนึ่งต้องไปเข้าปริวาสกรรม แต่ถึงไม่ผิดก็ต้องเข้าเช่นกันเพื่อเป็นการล้างตัวเองให้สะอาด ผลของกรรมนี้ต่อตัวพระที่ไม่สึกก็มีผลเหมือนกัน! สำหรับญาติโยมทั้งหลายถ้าอยากปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไม่ต้องยึด ๒๒๗ ข้อเหมือนพระหรอก พระอาจารย์สมบัติบอกว่าแค่ศีล๕ ก็ดีที่สุดแล้ว! ในตัวศีล๕ ในข้อที่๕ว่าด้วยสุรา ของมึนเมาสำคัญที่สุดเพราะสามารถเป็นต้นเหตุให้ทำความผิดในข้อที่เหลือได้!

**ในการเดินบิณฑบาตรของพระต้องมีการสำรวมกายและใจ สายตาต้องไม่ว่อกแว่ก ไม่มองซ้ายทีขวาที ไม่มองไปเรื่อยเปือย แม้กระทั่งตอนที่โยมใส่บาตรหมายความว่าสายตาเราต้องมีสมาธิอยู่ที่บาตรของเราเอง ไม่มองบาตรและของที่โยมใส่พระรูปอื่นที่เดินร่วมด้วยกับเรา ทำไม? เพราะอาหารอาจจะไม่เหมือนกัน หรือทำไมรูปนั้นได้ปัจจัย ทำไมเราไม่ได้ ทำให้เกิดความไม่สบายใจ เกิดอคติ เกิดความไม่ชอบ

**เรื่องการเดินบิณฑบาตรเท้าเปล่าก็เช่นกัน จุดประสงค์คือให้ใส่ใจ สนใจ และมีสมาธิในการเดิน ตามองพื้นตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นอาจจะไปเหยียบเศษแก้ว ก้อนหิน เหยียบขี้หมา และอีกสารพัดได้ ถ้าใส่รองเท้าทำให้สบายมากเกินไป ขาดความระวัง!

**เรื่องการโกนคิ้วของพระในประเทศไทยสืบเนื่องมาจากสงครามในสมัยโบราณน่าจะสมัยอยุธยาหรือสมัยรัตนโกสินทร์ คือพม่าปลอมตัวเป็นพระเจ้าเข้ามาทำศึกทำให้แยกแยะลำบากว่ารูปไหนพระไทย รูปไหนพระปลอมพม่า ดังนั้นการโกนคิ้วจึงเป็นวิธีแก้ปัญหานั้นเอง! แล้วก็มีผลสืบเนื่องถึงปัจจุบัน

**อีกสักเรื่องน่ะ! การนับพุทธศักราชในประเทศไทยเราเริ่มนับเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วหนึ่งปีจึงเร่ิมเป็นพ.ศ.๑ แต่ที่พม่าและศรีลังกาเริ่มนับทัทีที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ผลก็คือพม่าและศรีลังกาาจะเร็วกว่าเราหนึ่งปี คือปีนี้เรา ๒๕๕๒ แต่ที่พม่าและศรีลังกา ๒๕๕๓

**พระรับเงินก็ผิดวินัย! พระอุ้มหรือจับเนื้อต้องตัวเด็กผู้หญิงถึงแม้ว่าจะเป็นหลานก็ผิดวินัย ข้อนี้หมายถึงตั้งแต่เด็กทารกแรกเกิดจนถึงสักอายุสามสี่ขวบ...ประมาณว่ากำลังน่ารักน่าชัง ผิดน่ะโยม! แต่ถ้าเปลี่ยนจากเด็กเป็นสีกาโทษก็จะแรงตามไปด้วย

พระที่เป็นตุ๊ด เป็นแต๋วบวชไม่ได้น่ะ! แต่อาจจะแอ๊บแมนตอนบวช พอบวชเป็นพระแล้วค่อยๆเผยตัวออกมา อันนี้วัดไม่สามารถจับสึกได้เพราะไม่เข้าข้อหาปาราชิกสี่คือเสพเมถุน ลักขโมย ฆ่าคนตาย และอวดอุตตริมนุษยธรรม แต่ไปผิดในวินัยข้ออื่นๆแทน

การถวายอาหารพระหลังเพลทำให้พระผิดวินัยแต่พระไม่สามารถจะปฏิเสธได!้ เพราะในชุดสังฆทานจะมีพวกอาหารแห้งอยู่ถ้าถวายพระไปก็เรียบร้อยผิดวินัยทันที!อันที่จริงโยมไม่ต้องซื้อมาทั้งถังหรอก ซื้อบางอย่างที่พระจำเป็นต้องใช้ก็เพียงพอแล้ว อาทิ ของใช้จำเป็นต่างๆ ของใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นต้น บอกไปอย่างนี้อาตมาก็ผิดวินัยอีกเหมือนกัน แตข้อที่ผิดวินัยดังกล่าวข้างต้นสามารถปลงอาบัติได้ไม่ร้ายแรง สิ่งที่ร้ายแรงรองจากปาราชิกสี่มีทั้งหมด ๑๓ ข้อ จะเล่าให้ฟังวันหลังน่ะ!

**สำหรับวัดที่อาตมาบวชเป็นมหานิกาย ไม่ใช่ธรรมยุต เพราะถ้าเป็นธรรมยุตจะมีความเคร่งครัดมากขนาดว่าไม่สามารถจับเงินได้!

**สำหรับจีวรของพระนั้นสามารถใช้สีอะไรก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่สีที่ฉูดฉาด เช่น สีแดง เป็นต้น เพราะฉะนั้นเวลาโยมเดินทางแล้วพบเห็นพระห่มผ้าในสีต่างๆจะได้เข้าใจ สำหรับสีของวัดที่อาตมาจำพรรษาเรียกว่าสีราชนิยม

เจริญพร ๒๒.๕๒ น.