วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ณ บ้านพักตากอากาศ ชายแดนด้านตะวันออกของกรุงเทพ
“...ล่องดำเนิน เพลิดเพลินอัมพวา..”


สืบเนื่องจากฉบับที่แล้วที่ผมนั่งรถไฟจากสถานีนาขวางมาสถานีแม่กลอง สิ้นสุดการเดินทางภาคแรกที่สถานีแม่กลอง ณ ริมฝั่งแม่น้ำกลอง

ฉบับนี้เรามมว่ากันต่อ แต่เป็นการเดินทางอีกรูปแบบนั้นคือ “เรือหางยาว”

ตามโปรแกรมวันนั้นผมต้องพานักท่องเที่ยวชาวอังกฤษสี่คนไปเที่ยวตลาดน้ำท่าคา นั่งเรือพายชมการทำน้ำตาลมะพร้าวและต่อด้วยเรือหางยาวไปอุทยาน ร.๒ แต่วันนั้นไม่ตรงกับวันของตลาดน้ำท่าคาหมายถึงไม่มีตลาดนั้นเอง
เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะตลาดน้ำท่าคาจะมีเฉพาะวันขึ้นหรือแรม 2 ค่ำ 7 ค่ำ 12 ค่ำ ตั้งแต่เวลาประมาณ 06.00- 12.00 น (ทุก ๆ 5 วัน) เท่านั้น ปัจจุบันมีเพิ่มวันเสาร์และอาทิตย์ด้วย แต่วันที่ผมไปคือวันจันทร์....อดเลย!

พลาดจากท่าคา ผมก็วางแผนจะไปนั่งเรือพายที่ “ตลาดน้ำคลองลัดพลี” แทน ไม่เสียเวลาหลังจากที่กลับมาขึ้นรถตู้ผมรีบโทรไปจองเรือพายหนึงลำที่คลองลัดพลีทันทีเพื่อป้องกันความผิดพลาด
เราใช้เวลาเดินทางจากสถานีแม่กลองไปตลาดน้ำคลองลัดพลีประมาณครึ่งชั่วโมง เออ...ผมลืมบอกไปว่าท่านที่ขับรถมาเที่ยวตลาดร่มหุบที่แม่กลองสามารถจอดรถได้ที่วัดนะฮะ...บริเวณนั้นมีอยู่วัดเดียว ขออภัยผมจำชื่อวัดไม่ได้แต่ลานจอดรถอยู่ฝั่งตรงข้ามวัด หาไม่ยากครับ

ส่วนตัวตลาดน้ำคลองลัดพลี ถ้าขับรถมาเองท่านก็ใช้เส้นทางเดียวกับที่จะมาตลาดน้ำดำเนินสะดวก พอขับผ่านสามแยกไฟแดงที่จะไปอัมพวา ก็ขับตรงมาเรื่อยๆก็จะเจอสี่แยกไฟแดงถ้าเลี้ยวซ้ายก็จะไปตลาดน้ำดำเนินสะดวก แต่เราขับตรงไปก็จะข้ามสะพานคลองดำเนินสะดวก ลงจากสะพานก็จะเจอไฟแดงให้เตรียมเลี้ยวซ้ายตรงแยกไฟแดงนี้ครับ ไม่พลาดแน่เพราะจะมีป้ายบอกว่าไปตลาดน้ำคลองลัดพลี จากถนนสี่เลนพอเลี้ยวซ้ายก็จะเป็นสองเลน ขับตามทางไปเรื่อยๆประมาณ ๓ กม.ทางเข้าตลาดน้ำคลองลัดพลีก็จะอยู่ทางซ้ายมือ แม่นแล้วครับมันคือทางเข้าวัดสุ่นหรือวัดราษฏร์เจริญธรรมนั้นเอง

บรรยากาศตลาดน้ำคลองลัดพลีจะไม่คึกคักเท่าตลาดน้ำดำเนินสะดวก แต่ในคลองก็มีแม่ค้าขาพ่อค้าขายอาหารเหมือนกัน

ความสนุกของการมาเที่ยวตลาดน้ำคือต้องนั่งเรือพายครับ ป้าๆน้าๆแรือพายที่นี้น่ารักพี่ๆน้องๆสามารถติดต่อ คุยเรืองราคาเรือได้เลยนะฮะ ราคาคุยกันได้ เป็นกันเองที่สุด

ผมก็พาฝรั่งสี่คนมานั่งเรือพายที่นี้ ได้พี่สาวคนสวยเรือพายเบอร์ ๑๖ เป็นคนพาย บรรยากาศนั่งเรือพายจากตรงนี้ไปตลาดน้ำดำเนินสะดวก เงียบ สงบ สวยงาม บ้านเรือนสองข้างคลองเรียบง่าย แต่เรือพายไม่มีหลังคานะครบ แนะนำให้นำหมวกและแว่นกันแดดไปด้วยจะดีมาก

เรานั่งเรือพายกับมาเงียบๆ เพลินกับบรรยากาศสองข้างทาง ไม่นานก็มาโผล่ที่คลองดำเนินสะดวก ไม่ไกลเราก็มาถึง “ตลาดน้ำดำเนินสะดวก” จากความเงียบเรามาปะทะกับความวุ่นวายของพ่อค้าแม่ขาย เรือพาย เรือยนต์ ร้านขายของที่ระลึกที่เต็มไปทั้งสองข้างทาง เรานั่งเรือพายฝ่าความวุ่นวายของพ่อค้าแม่ค้าไปเรือยๆจนมาถึงจุดจอดเรือที่ “เตาตาลบ้านบังและ”
ผมจอดเรือที่นี้เพื่อให้แขกได้มีโอกาสชมการทำน้ำตาลจากยอดมะพร้าว ที่นี้เขาทำกันทุกวัน ทำกันสด ๆขายกันสดๆ วันนั้นโชคดีได้ดูเขาสาธิตการปีนต้นมะพร้าวเพื่อเก็บน้ำตาลจากดอกมะพร้าว ไอ้เจ้าตัวน้ำตาลนี้จะแหละต้องนำมาเคียวในกะทะใบใหญ่อีกทีเพื่อให้ได้น้ำตาล

นอกจากนี้ทานเตาตาลบังและยังมีน้ำตาลสดไว้บริการลูกค้า ชิมฟรีไม่เสียตังค์นะครับ วันนั้นผมซัดไปสามแก้ว...โคตรชื่นใจเลย

เราใช้เวลาที่เตาตาลบังและกันพอสมควร ผมและแขกทั้งสี่ก็กลับมานั่งเรือพาย “วัดสุ่น เบอร์ ๑๖” เพื่อให้เขาไปส่งที่คลองต้นเข็ม หลังจากนั้นผมก็จะปล่อยแขกให้เดินเล่นที่ตลาดน้ำดำเนินสะดวกตามเวลาอันสมควร ก่อนที่เราทั้งหมดจะนั่งเรือหางยาวไปอัมพวาและอุทยาน ร. ๒ ต่อไป

เรือหางยาวที่เราจะนั่งต่อจากดำเนินสะดวก ไปออกแม่น้ำแม่กลอง ปลายทางคืออุทยาน ร.๒ ผมติดต่อหนึ่งวันล่วงหน้าและผมก็นัดหมายเรือให้มารับที่คลองต้นเข็มหรือแถวตลาดน้ำดำเนินนั้นแหละครับ

น้าคนขับเรือชื่อ “แต้ม” ตลอดทางที่นั่งเรือน้าแต้มได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจหลายอย่าง รวมทั้งบอกด้วยว่าถ้านั่งจากตลาดน้ำท่าคาจะมาโผล่ตรงไหน....

ระยะเวลาคร่าวๆที่เราจะใช้เดินทางทั้งหมดประมาณหนึ่งชั่วโมง นั่งเรือไปแบบเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน ชมบรรยากาศสองข้างทางไปแบบเพลินๆ

หลังจากนั่งเรือหางยาวมาได้สักพักเราก็แวะให้อาหารปลาที่ “วัดปรก” เป็นวัดแรกที่เราผ่านนับตั้งแต่นั่งเรือมา เราจอดซื้ออาหารปลากันที่นี้ ราคาไม่แพงฮะ ถุงละสิบบาทเท่านั้น ปลาที่เห็นส่วนมากก็เป็นปลาตะเพียนหางแดง วันนั้นผมซื้อไปทั้งหมดห้าถุง....เลี้ยงปลากันสนุกสนานไปเลย แต่ถ้าใครสนใจอยากจะลงไปเดินเล่นที่วัดก็ได้นะครับ ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด

นั่งเรือมาสักพักน้าแต้มก็กระซิบบอกผมว่า “ที่ดินด้านซ้ายมือที่กำลังก่อสร้างเป็นขององค์โสมฯ” ท่านได้ที่ดินมาจากเพื่อนอีกที เป็นการแบบให้เปล่า....ความลับนะฮะ อย่าไปบอกใครละกัน เหยียบไว้ตรงนี้เลย!!!

กำลังนั่งเรือชมบรรยากาศเพลิน น้าแต้มก็มาสะกิดบอกว่า “ตรงคุ้งน้ำนี้มันเหมือนสี่แยก คือทางขวาตามคลองก็จะไปโผล่แม่กลอง (อันนี้เป็นเส้นทางที่เราต้องไปอยู่แว้ว ) แต่ทางซ้ายมือจะคล้ายๆเป็นแยกตัว “Y” แยกด้านบนซ้ายนั้นแหละที่เราสามารถไป “ตลาดน้ำท่าคา” ได้ หมายถึงเรือจากทาค่าก็จะมาโผล่ตรงนี้นั้นเอง จุดสังเกตุตรงนี้คือ “วัดบางน้อย”

น้าแต้มให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ช่วงน้ำแล้งหรือหน้าแล้งคลองเส้นท่าคาเรือก็วิ่งไม่ได้เพราะติดท้องร่อง !!!

จากจุดนี้คลองก็คดเคี้ยวไปมา ผมสังเกตุมีโฮมสเตย์น่ารักอยู่สองสามแห่ง...น่าพักเหมือนกัน ไม่นานเราก็มาโผล่ ณ แม่น้ำแม่กลอง สำหรับท่านที่ต้องการแวะชมค่ายบางกุ้ง ที่วัดบางกุ้งก็สามารถแวะชมได้นะครับ เพราะหน้าวัดมีท่าน้ำสามารถจอดเรือแล้วลงไปเดินเที่ยวได้ จุดสังเกตุหลังจากที่เรามาโผล่แม่น้ำแม่กลองคือวัดที่สามเป็นวัดบางกุ้ง วัดแรกที่เห็นชื่อวัดกลางเหนือ ถัดมาคือวัดศรีจินดาวัฒนาราม แล้วต่อด้วยวัดบางกุ้ง

จากคลองแคบๆเล็กๆสามารถมองทั้งสองฝั่งได้อย่างสบายๆ แต่พอเปลี่ยนมาเป็นแม่น้ำแม่กลอง โอ้วแม่เจ้า!!! มันช่างกว้างใหญ่จริงๆ ถ้าอยากจะเห็นอีกฝั่งให้ชัดเจนคงต้องส่องกล้องกันละครับพี่น้องงงงง

ก่อนที่จะถึงจุดหมายคืออุทยาน ร.๒ น้าแต้มขับเรือพาไปเที่ยวตลาดน้ำอัมพวา ได้เห็นตลาดน้ำในวันธรรมดา ที่เงียบสงบ เห็นร้านค้า ร้านอาหารและท่าเทียบเรือ รวมทั้งกลุ่มของบ้านเรือนแถวที่อยู่ในโครงการของพระเทพฯ ชื่อว่า “โครงการอัมพวาชัยพัฒนานุรักษ์ “ สังเกตุง่ายๆเวลาท่านไปเที่ยวตลาดน้ำอัมพวา ถ้าเห็นธงของพระเทพฯ...นั้นละครับ เรือนแถวทั้งหมดเป็นของท่าน ที่ดินและบ้านทั้งหมดท่านไม่ได้ซื้อน่ะครับ มีชาวบ้านถวายให้พระเทพฯ ท่านก็ทรงรับไว้และทำการอนุรักษ์เป็นอย่างดี น้าแต้มยังบอกอีกว่าสถานที่แห่งนี้แพระเทพฯท่านทรงโปรดเสด็จเป็นการส่วนพระองค์เช่นกัน

สุดท้ายเราก็ต้องลาน้าแต้มที่ท่าเรือของอุทยาน ร.๒ สำหร้บท่านที่มีแรงก็สามารถเดินจากอุทยาน ร.๒ ไปตลาดน้ำอัมพวาได้นะครับ ....เดินใกล้นิดเดียวก็ถืงแล้ว
แต่วันที่เราไปอากาศร้อนมาก ไม่ไหวแล้ว บ่ายโมงแล้ว...ได้เวลาร้บประทานอาหารเที่ยง วันนี้ผมเลือกไปทานที่ “ร้านชมเดือน” เป็นโฮมสเตย์และร้านอาหาร บรรยากาศดีเพราะติดแม่น้ำ อาหารหร่อยจังฮุ้!!! แต่มีอีกร้านที่น้าแต้มแนะนำคือ “ร้านชาวเล” เอาไว้โอกาสหน้าจะแวะไปชิม....







“...นั่งรถไฟไปตลาดร่มหุบ...”



วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ณ โรงแรมแชงกรีลา



เนื่องด้วยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาผมได้รับมอบหมายให้ทำงานชุดหนึ่งคือต้องพาแขกต่างชาติไปนั่งรถไฟที่ “สถานีนาขวาง” เพือเดินทางไปแม่กลอง (ตลาดร่มหุบ) แล้วต่อด้วยตลาดน้ำท่าคา นั่งเรือพายชมธรรมชาติแพร้อมแวะชมการทำน้ำตาลมะพร้าว ก่อนที่จะนั่งเรือหางยาวไปอุทยานร.2 ปิดท้ายด้วยการรับประทานอาหารกลางวันก่อนที่จะเดินทางกลับกรุงเทพ

แล้วเรื่องราวที่จะมาเล่ามันอยู่ตรงไหน มันอยู่ตรงนี้ครับพี่น้อง...ผมไม่เคยนั่งรถไฟขบวนนี้มาก่อน รวมทั้งตลาดน้ำท่าคาไม่ได้ไปมานานมากนึกสภาพไม่ออกจริงๆ ส่วนการนั่งเรือพายและเรือหางยาวที่ตลาดน้ำท่าคาหายห่วง..ยังไม่เคยทำ นี้แหละครับทำให้เป็นประเด็นที่ผมจะนำมาเขียนให้พี่น้องได้อ่านกันเพื่อเป็นการแบ่งปันประสบการณ์

เรื่องรถไฟที่สถานีนาขวางน่าสนใจ ส่วนเรื่องนั่งเรือหางยาวไปอุทยานร.2 ได้ข้อมูลที่น่าสนใจพอสมควรจาก “น้าแต้ม” คนขับเรือหางยาวได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจ....ติดตามกันต่อไป!!!

เช้าวันนี้ผมออกเดินทางจากโรงแรม Chatruim riverside Hotel ด้วยรถตู้ตอนเจ็ดโมงเช้า เป้าหมายของเราคือไปไปขึ้นรถไฟขบวน “บ้านแหลม - แม่กลอง” เพื่อสัมผัสกับบรรยากาศตลาดร่มหุบบนรถไฟ โดยส่วนมากนักท่องเที่ยวจะเดินทางมาตลาดร่มหุบทางรถเพราะเป็นเส้นทางที่จะผ่านไปตลาดน้ำดำเนินสะดวก

เช้าวันนี้การจราจรติดขัดเล็กน้อยในกรุงเทพฯทำให้เราต้องทำเวลาพอสมควรเพื่อไปให้ถึง “ สถานีนาขวาง” ก่อน 08.04 อันนี้คือเวลาที่รถไฟจะมาถึงที่สถานี ด้วยประสบการณ์ของคนขับรถทำให้เรามาถึงที่สถานีก่อนแปดโมงเล็กน้อย ต้องบอกก่อนว่าทั้งผมและคนขับรถ “ประพาส” ไม่เคยมาที่นี้มาก่อน แต่หนึ่งวันล่วงหน้าผมได้บอกให้พี่คนขับรถทำการบ้านเป็นที่เรียบร้อย อีกทั้งเช้าวันนี้ก่อนออกเดินทางมาจากบ้านผมไม่ลืมที่จะนำเอาGPSมาด้วย

หลังจากที่เรานั่งรถข้ามแม่น้ำท่าจีน ผ่านวัดเกตุมวดีและวัดกาหลง ต่อไปคือสะพานข้ามทางรถไฟ พอถึงจุดนี้เคนขับรถชิดซ้ายเพื่อทำการจอดที่สถานีนาขวาง ถูกต้องแล้วครับ! สถานีนี้อยู่ใต้สะพานข้ามรางรถไฟนั้นเอง
ข้อมูลที่พี่คนขับได้มาคือสถานีอยุ่ใต้สะพาน แต่GPSผมอยู่เลยใต้สะพานมานิดหน่อย สรุปคือข้อมูลของพี่คนขับรถถูกต้อง!
ตัวสถานีนาขวางเป็นชานชลาปูนธรรมดา มีป้ายบอกสถานีพร้อมกับเวลาที่รถไฟจะมาถึง เรามาถึงก่อนเวลาประมาณสิบนาที....สบายใจได้ แต่เพื่อความมั่นใจผมได้ถามพี่ผู้หญิงคนหนึงซึ่งรอรถไฟเช่นกัน คำตอบที่ได้คือ “ถูกต้องนะคร้าบบบบบบบบ”

ครั้งแรกของการขึ้นรถไฟขบวน “บ้านแหลม – แม่กลอง” ผมไม่ลืมที่จะถ่ายรูปเก็บเอาไว้ จนฝรั่งสัญชาติอังกฤษถามว่า “มาครั้งแรกรึ” ผมก็ตอบสวนไปทันที “แม่นแล้วเด้อ” แต่ที่หนักกว่านั้นคือรถไฟไม่ได้มาตามเวลาที่กำหนด (08.o4) แต่รถไฟมาถึงสถานีนาขวาง ณ เวลา 08.37 ช้าไปกว่าครึ่งชั่วโมง. รถไฟมาช้าผิดปกติทำให้ผมต้องโทรไปที่สถานีแม่กลองเพื่อตรวจสอบว่ารถไฟวิ่งตามปกติไหม? คำตอบคือวิ่งตามปกติครับ...รอต่อไป!

รถไฟขบวนนี้เป็นดีเซลรางสองตู้ มีเจ้าหน้าที่ขายตั๋วบนรถ บริเวณท้ายขบวนมีห้องเล็กๆห้องหนึ่งสามารถถ่ายรูปได้เมื่อถึงตลาดร่มหุม แต่หน้าประตูมีป้าย “ห้ามเข้า”

ทำไมต้องมาขึ้นที่สถานีนาขวาง?

ต้องขอบอกก่อนว่ารถไฟขบวน “บ้านแหลม – แม่กลอง” วิ่งไปและกลับวันละแปดเที่ยว (มาสี่ กลับสี่) โดยขบวนที่ผมขึ้นตามตารางต้องออกจากบ้านแหลม 07.30 และจะไปถึงสถานีแม่กลอง 08.30 ส่วนตัวสถานีนาขวางจะอยู่ใกล้ถนนเส้นธนบุรี – ปากท่อมากที่สุด สำหรับสถานีอื่นๆนั้นแยกออกไปจากตัวถนนสายหลักพอสมควร อีกทั้งระยะทางจาก “นาขวาง – แม่กลอง” ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น

สำหร้บรถบัสคงไม่สามารถใช้เส้นทางนี้ได้เพราะทางลงจากสะพานเพื่อเลี้ยวซ้ายแบบหักศอกไปสถานีรถไฟค่อนข้างชัน แนะนำให้วิ่งคู่ขนานช่วงก่อนถึงวัดกาหลง แล้วชิดซ้ายก่อนขึ้นสะพานเพื่อจอดส่งนั่งท่องเที่ยวที่สถานีต่อไป!
สรุปคือสะดวกในการเดินทางและใช้เวลาในการนั่งรถไฟไม่นานเกินไปนั้นเอง!!! สำหรับค่าโดยสารก็คนละหกบาทเท่านั้น คนไทยหรือต่างชาติราคาเดียวกันนะฮะ

บรรยากาศสองข้างทางก็จะเป็นนาเกลือที่รกร้าง แต่อีกบางส่วนยังมีการทำตามปกติ

จากสถานีนาขวางก็จะเป็นสถานีนาโคก – เขตเมือง – ลาดใหญ่ – บางกระบูน – แม่กลอง ทุกสถานีก็จะมีชาวบ้านขึ้นตลอด แต่สถานีนาโคกซึงถัดจากนาขวางจะอยู่ใจกลางชุมชม บรรยากาศึกคัก ช่างแตกต่างกับสถานีนาขวางโดยสิ้นเชิงเพราะเสมือนหนึ่งเป็นสถานีร้าง ฮาๆๆๆ

แต่ถ้าใครจะมาขึนรถไฟที่สถานีนาโคกก็ได้นะ คือพอขับผ่านวัดกาหลงจะเป็นสะพานข้ามรางรถไฟ ขับเลยไปอีกนิดให้เตรียมกลับรถ โดยมีจุดสังเกตุคือวัดนาโคก ผมคาดว่าตัวสถานีน่าจะเข้าทางนี้เพราะมันพ้องกับชื่อวัดพอดี ใครอยากลองเชิญได้เลยนะฮะ

เราใช้เวลาเดินทางด้วยรถไฟจากสถานีนาขวาง – แม่กลอง โดยประมาณ ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น (08.37 – 09.09) แต่ก่อนที่จะเข้าตลาดร่มหุบจนท.ขายตั๋วของการรถไฟก็เดินมาบอกว่า “พี่พาแขกมาถ่ายรูปได้ที่ท้ายขบวนนะครับ” ท้ายขบวนตรงประตูติดป้ายว่า “ห้ามเข้า” จำกันได้ใช่ไหมครับ แต่มันเป็นห้องที่เล็กมา จุได้เต็มที่ก็สี่คนเท่านั้น

ก็เป็นภาพที่สวยอีกภาพหนึ่งจากมุมมองบนรถไฟ เพราะปกติผมจะยืนอยู่ใกล้ๆรางรถไฟเมื่อรถไฟวิ่งผ่านมา ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นที่เดียว ส่วนรูปผมไม่ได้ถ่ายมาเพราะต้องให้พื้นที่แขกในการถ่ายรูป

แขกผมสี่คนรู้สึกสนุกและตื่นเต้นสำหรบการนั่งรถไฟขบวนนี้จริงๆ !!

สถานีแม่กลองเป็นสถานีสุดท้ายที่ผู้โดยสารทุกคนต้องลงจากรถไฟ มันสุดทางจริงๆครับ เพราะถ้าขับเลยจากสถานีนี้ก็คือแม่น้ำแม่กลองนั้นเอง

ผมแนะนำนะครับ หลังจากที่ลงจากรถไฟแล้วให้เดินไปจุดสุดรางรถไฟจะเห็นแม่น้ำแม่กลองที่สวยงาม ใกล้ๆกันนั้นก็เป็นท่าเรือข้ามฟาก จากตรงนี้เราก็สามารถเดินกลับไปที่ตลาดร่มหุบได้อีกครั้งเพื่อเก็บบรรยากาศของตลาดในยามเช้า

สิ่งหนึ่งที่ต้องเตือนสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาชมตลาดแห่งนี้ ส่วนมากจะตื่นเต้นกับรถไฟที่วิ่งผ่ากลางตลาด แต่ปัญหาคือนักท่องเทียวไปยืนบังหน้าร้านทำให้พ่อค้าแม่ค้าเสียผลประโยชน์รวมทั้งมีบางส่วนที่ไม่พอใจ ทางที่ดีถ้านักท่องเที่ยวอยากจะถ่ายรูปควรจะหาจุดที่ไม่ขวางหรือยืนบังหน้าร้านของเขา ทุกฝ่ายจะได้มีความสุข เป็นสยามเมืองยิ้ม “Land of Smile”

เจอกันใหม่ฉบับหน้า..........

ตารางการเดินรถบ้านแหลม - แม่กลอง :: การรถไฟแห่งประเทศไทย
http://www.railway.co.th/home/srt/timetable/BanLaem-MaeKlong.asp

48 วัน...ก่อนวันแต่งงาน (4)



"หาซื้อแหวนหมั้น"

วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ณ ห้อง 712 รพ.สินแพทย์


ไม่ต้องสงสัยนะครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร สุขภาพร่างกายยังแข๊งแรงเหมือนเดิม แต่ที่แวะมาที่โรงพยาบาลเพราะมาเยี่ยมยาย....คุณยายผมอายุ 94 ปีแล้ว เข้ามานอนโรงพยาบาลหลายวันแล้ว ยังไม่ทราบเหมือนกันว่าเมื่อไหร่หมอจะอนุญาตให้กลับบ้านได้ เผอิญว่าวันนี้แวะมาเอาของที่คอนโดนซึงอยู่ใกล้โรงพยาบาล ก่อนกลับก็เดินแวะมาเยี่ยมยายสักเล็กน้อย

กลับมาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่า เรื่องการเตรียมการก่อนงานแต่งงานเขียนไปทั้งหมดก็สามตอนแล้ว ยังไม่ทราบว่าอีกกี่ตอนจบแต่ก็จะเลือกหาประเด็นหรือหัวข้อที่น่าสนใจ เก็บเป็นบันทึกเอาไว้

การเขียนบันทึกแบบนี้ผมก็ทำมาตลอดแล้วแต่วัตถุดิบที่มีและเป็นเรื่องที่เราสนใจและอยากจะเก็บมันเอาไว้ เคยทำอย่างนี้เหมือนกันตอนที่บวชเป็นพระอยู่หนึ่งพรรษา คิดเหมือนกันนะว่าจะเอาสิ่งที่เขียนมารวมรวบเป็นเล่มเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก เอาไว้อ่านย้อนหลังก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ

การเขียนบล๊อคของผมไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อจะเป็นนักเขียนหรือเป็นอะไรหรอก เพียงแค่อยากจดบันทึกเอาไว้ ใครสนใจก็เข้ามาอ่านถือว่าเป็นการแบ่งปันประสบการณ์

ยังไม่ทันไรเลยนี้เขียนพร่ำเพ้ออะไรไปละเนี่ย มาเข้าเรื่องแต่งงานกันดีกว่า!!!

จากสามตอนที่เขียนไปแล้ว ผมมานั่งอ่านแล้วมองย้อนอีกทีว่าสิ่งที่เราต้องการจะบันทึกมันคงไม่ใช่ลำดับเหตุการณ์ของงานตั้งแต่เริ่มจนถึงวันแต่ง แต่น่าจะเป็นในมุมมองอื่นดีกว่า ฉะนั้นวันนี้เราจะมาเริ่มต้นกันด้วยเรื่องของการหาซื้อ “แหวนหมั้น”

การหาซื้อแหวนหมั้นก็เป็นสิ่งที่ยากเหมือนกันเ ทั้งเรืองของขนาดแหวน รูปแบบ ราคาและที่สำคัญที่สุดคือจะไปซื้อที่ไหน ร้านไหนที่เราไว้ใจได้ สถานที่แรกที่นึกถึงเลยคือ Gem Gallery ทำไมถึงเป็นร้านนี้? เพราะร้านนี้เป็นร้านที่เกี่ยวข้องกับงานที่ทำ เคยพาแขกต่างชาติหลายคนไปอุดหนุนที่ร้านนี้มาก่อน รู้จักกับเซลล์ คิดว่าน่าจะได้ของดีมีคุณภาพ!
ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรไปหาเซลล์ที่สนิทกัน หลังจากที่สนทนาทางโทรศัพท์เป็นที่เรียบร้อยได้คำตอบว่าคงต้องไปหาซื้อที่อื่น เพราะเซลล์แนะนำว่าเพชราที่ร้านเป็นเพชรที่คัดมาแล้ว รับประกันตลอดชีพ ถึงแม้ว่าจะลดราคาแล้วแต่ราคาก็ยังสูงจนต้องแหงนคอตั้ง น้องเซลล์เขาก็ไม่ได้บอกว่าไม่ต้องมานะพี่ ในทางตรงข้ามบอกให้ผมลองเข้ามาดูก่อนก็ได้ ถ้าไม่ถูกใจในเรื่องราคาค่อยไปหาซื้อที่อื่น นอกจากนี้น้องเซลล์ยังแนะนำผมให้ไปดูร้านแถววังบูรพาแหล่งร้านเพชรของเมืองกรุง!

สรุปที่ร้าน Gem Gallery เราคงไม่ไป....แล้วจะไปหาซื้อที่ไหนต่อ?

แม่ผมโทรมาบอกว่าที่แฟชั่น ไอส์แลนด์มีร้านเพชร ตอนนี้กำลังลดราคา ถ้าซื้อจากบัตรเครดิตที่ร่วมโปรโมชั่นก็จะได้ราคาพิเศษจากที่ลดลงไปอีก เย็นวันเสาร์ที่ 2 ก.ค. หลังจากที่เรากลับจากซื้อของชำร่ายและของไหว้จากสวนจตุจักร เราทั้งคู่ก็เดินทางไปร้านเพชรที่แม่แนะนำ
เราเดินกันสักพักก็หาร้านเพชรที่แม่แนะนำเจอ ยืนดูแบบจากโบวชัวร์ที่เขาแนะนำแต่แหวนวงที่เราต้องการจะลอง ไม่มี...หมายถึงหมดครับ ไม่มีของ ถ้าจะเอาต้องรอและจองล่วงหน้า สรุปว่าแห้วไปอีกร้าน!!!

ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้แหวนแต่ตอนนี้เรามีแบบที่ต้องการแล้ว แบบแหวนก็ไม่ได้คิดเองหรอกก็เอามาจากร้านเพชรที่แฟชั่น ไอส์แลนด์นั้นแหละ สอยมาจากโบรชัวร์ที่เขามี อิอิ หมดจากตรงนี้เราก็ยังไม่ทราบว่าจะไปหาซื้อที่ไหนต่อ..บรรยากาศเริ่มเศร้า!

ค้วยความโชคดีป้อมีเพื่อนที่ทำงานเกี่ยวกับวงการเพชรพลอย ผมก็ให้ป้อลองโทรไปปรึกษาเพื่อน หลังจากที่คุยกับเพื่อนเราทั้งสองเริ่มมีความหวังเพราะเพื่อนป้อสามารถที่จะช่วยได้ มันยิ่งง่ายเลยเพราะเราทั้งสองก็มีแบบอยู่แล้ว เราทั้งคู่สบายใจเรื่องแหวนเพราะฝากให้เพื่อนป้อรับช่วงต่อ
สองถึงสามวันถัดมา เราทั้งคู่ได้รับคำตอบ...ช่วงนี้เพือนป้อค่อนข้างยุ่งทำให้ไม่สามารถจัดการเรื่องแหวนได้ ก็เป็นอันว่าแห้วไปอีกหนึ่งที่!!!

เอาไงต่อดีละเนี่ย....ชื่อเพื่อนอีกคนแว่บเข้ามาในหัว ขออนุญาตเอ่ยนาม เขาคือ “คุณอานนท์หรือก้อง” ผมไม่รอช้ารีบโทรศัพท์ไปหาก้องทันทีเพื่อขอคำแนะนำเรื่องซื้อแหวนหมั้น คำตอบที่ได้มาภายหลังการสนทนาทางโทรศัพท์ ก้องมีร้านแนะนำสองร้าน ร้านหนึ่งอยู่ที่สวนจตุจักรอีกร้านอยู่ที่มาบุญครอง เราเลือกร้านที่มาบุญครองเพราะสะดวกในการเดินทาง

เย็นวันหนึ่งหลังเลิกงาน เราทั้งคู่นัดเจอกันที่มาบุญครองเพื่อเดินทางไปร้านที่ก้องแนะนำมา ใช้เวลาไม่นานในการเดินหา เราทั้งคู่ตรงดิ่งเข้าไปที่ร้านทันที มองผ่านตู้กระจกเพื่อมองหาแหวนที่คิดว่าใช่
ร้านนี้อันที่จริงเป็นร้านทองและก็มีแหวนเพชรขายเช่นกัน
เมื่อเราเจอแบบที่คิดว่าใช่ ก็บอกทางพี่เจ้าของร้านขอลอง แต่ลองแล้วยังไม่ถูกใจ
ป้อพูดคุยกับพี่เจ้าของร้านถึงลักษณะที่เราต้องการ ไวปานลมพัด ใช้เวลาไม่นานพี่เจ้าของร้านก็นำแหวนที่คิดว่าใช่มาให้เราลอง อะไรมันจะโชคดีขนาดนั้นเพราะแหวนวงที่พี่เจ้าของร้านจำมาให้ลองมันถุกใจ ตรงใจจริงๆ ในที่สุดเราก็ได้แหวนหมั้น
ต้องขอบคุณก้องสำหรับคำแนะนำ ขอบคุณพี่เจ้าของร้านที่ดูแลและช่วยเราเลือกแหวนเป็นอย่างดี!!

การหาซื้อแหวนเพชรมีความสำคัญมากในเรื่องของความน่าเชื่อถือและความไว้ใจ...เราไ่ม่อยากเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปในร้านที่เราไม่รู้จัก เพราะฉะนั้นการได้รับคำแนะนำจากคนที่เราไว้ใจจึงมีความสำคัญเป็นที่สุด

จนถึงตอนนี้หลังจากที่ได้แหวนหมั้นแล้ว ถือว่าเราได้ของที่ต้องซื้อเพื่อเตรียมสำหร้บวันงานครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว ของชำร่วย การ์ดเชิญ ของไหว้แขกผู้ใหญ่ และแหวนหมั้น

ส่วนที่เหลือยังมีอะไรอีกบ้าง ฉบับหน้าเจอกันใหม่

48 วัน...ก่อนวันแต่งงาน (3)



วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ณ โรงพยาบาลสินแพทย์


เช้านี้ตื่นนอนตามเสียงแม่ปลุก ไม่ได้ตื่นสายอะไรหรอกแต่แม่ไม่สบายมาสองสามวันแลัว เช้านี้แม่รู้สึกว่าเหนื่อยก็เลยปลุกเพื่อให้พาไปหาหมอที่โรงพยาบาล ก็เลยเป็นเหตุให้ต้องมานั่งเขียนที่นี้ในระหว่างที่รอผลตรวจ

จากสองฉบับที่เขียนไปก่อนหน้านี้หวังว่าคงจะสนุกในการอ่านและมองเห็นภาพของการเตรียมการเบื้องต้น แต่มันยังไม่จบเพราะยังมีรายละเอียดหรือประเด็นหลักๆที่อยากจะแบ่งปันประสบการณ์ให้เพื่อนๆพี่ๆได้อ่านกัน

แน่นอนที่สุดคือผมคงไม่เสามารถจะเขียนเล่ารายละเอียดทั้งหมดได้ ขอแค่หยิบบางมุมที่คิดว่าน่าสนใจมาแบ่งปันให้อ่านกันเพลินๆ
ระยะเวลาสี่วันก่อนที่จะถึงวันเสาร์ที่ 2 ก.ค. ช่วงระหว่างสัปดาห์ผมก็มีเวลาว่างในการอ่านข้อมูลช่วงพิธีการที่ป้อเตรียมไว้ให้ ผมจึงศึกษาจะได้เห็นภาพรวมทั้งหมด ซึ่งก็มีประโยชน์มากพอสมควรเพราะสามารถคิดต่อได้ว่าเราควรจะต้องเตรียมอะไรบ้าง

ช่วงนั้นผมอยู่บ้าน ยังไม่มีงานเหมายถึงรอเวลาทำงานนะครับ มีงานทำนะฮะแต่ยังไม่ถึงเวลา ...

ผมใช้เวลาว่างสี่วันในการเตรียมรายชื่อแขกทั้งหมดที่จะต้องเชิญอันนี้หมายถึงญาติพี่น้อง เพื่อนๆพี่ๆและเพื่อนๆรวมทั้งเพื่อนๆของแม่ โดยผมแบ่งแขกทั้งหมดออกเป็นกลุ่มๆ อาทิญาติพี่น้อง เพื่อนรามคำแหง เพื่อนบางกะปิและเพื่อนร่วมงาม ส่วนทางป้อก็จัดเตรียมในรูปแบบเดียวกัน เมื่อได้รายชื่อก็เริ่มทยอยโทรไปแจ้งเรื่องงานแต่งงานเป็นเบื้องต้นพร้อมทั้งขอชื่อและนามสกุลรวมทั้งที่อยู่เพื่อส่งการ์ดเชิญทางไปรษณีย์ต่อไป แต่บางส่วนก็มารับบัตรที่หน้างาน

อีกเรื่องที่ต้องทำคือการทำ Presentation เราทั้งสองคนต้องรวบรวมรูปที่มี ทั้งรูปครอบครัว รูปวัยเด็ก วัยเรียน วันทำงาน สารพัดรูปคือมีเท่าไหร่เอามาให้หมด ได้รูปมาแล้วก็นำมาลงโปรแกรมพร้อมเลือกเพลงเพื่อทำเป็นMVเปิดในงานต่อไป

อีกอย่างที่ต้องทำไปพร้อมกันคือเรื่องของScriptพิธีการช่วงงานช่วงเช้าและช่วงงานเลี้ยงคือต้องวางรูปแบบงานเลี้ยงทั้งหมด ตั้งแต่งานเช้าถึงงานเลี้ยงจนกระทั่งเสร็จงานคือส่งแขกกลับ ต้องทำคิวพิธีกร ทำคิวเพลง คิวแสง สีและเสียง

เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว..แป๊บเดียววันเสาร์แล้ว

เช้าวันเสาร์ที่ 2 ก.ค. เราทั้งคู่เดินทางไปสวนจตุจักรเพื่อไปหาซื้อของไหว้ญาติผู้ใหญ่ในวันแต่งงานและของชำร่วย เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้ป้อเพราะเขาเคยมาเดินกับเพือนที่นี้มาก่อน ทำให้ทราบว่าที่สวนจตุจักรมีทุกสิ่งให้เลือกสรรจริงๆ คือถ้าใครวางแผนจะแต่งงานสวนจตุจักรเป็นที่แรกๆที่ควรจะมา!!!

ที่สวนจตุจักรมีร้านค้าประเภทของชำร่วยและการ์ดแต่งงานเยอะพอสมควร รวมทั้งร้านเช่าชุดวิหวาห์ ต้องใช้เวลาและความอดทนในการเดินเล็กน้อย เพราะแต่ละร้านไม่ได้อยุ่ติดกัน อีกทั้งจะแตกต่างในเรื่องของราคา รูปแบบสินค้าที่มีและการต้อนรับของเจ้าของร้าน บางร้านเจ้าของออกแนวหยิ่งๆไม่ค่อยสนใจลูกค้า คือขายดีแล้วหยิ่งอะไรประมาณนี้แหละ เราก็เจอร้านประเภทนี้เหมือนกัน...ของในร้านน่าสนใจแต่เจ้าของร้านทำตัวไม่น่าอุดหนุน ฮาๆๆ

สรุปคือที่สวนจตุจักรเราได้ของชำร่วยในแบบที่ต้องการนั้นคือแก้วกาแฟ และที่ดีสุดๆแลยคือเราสามารถไปรับของได้ที่โรงงานซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเราซึงร้านเขาอยู่แถวๆถนนเสรีไทย...ใกล้แค่เอื้อม

ขอแนะนำอีกที่ถ้าไม่สามารถมาที่สวนจตุจักรได้เพราะมีข้อจำกัดเปิดเพียงเสาร์และอาทิตย์ นั้นคือพาหุรัด!!!

จนถึงวันเสาร์นี้ เราทั้งสองเตรียมสถานที่และของได้ไปพอสมควร ถือว่าคืบหน้าไปมากกว่าห้าสิบเปอร์เซ้นต์ แต่ยังเหลืออีกหลายอย่างที่ต้องทำ มันเป็นงานที่ไม่จบไม่สิ้นจริงๆ เสร็จเรื่องนี้ก็มีเรื่องอื่นที่ต้องไปจัดการต่อ

ฉบับหน้าเราจะมาคุยกันเรื่องแหวนหมั้น...อันนี้ก็สำคัญและหายากจริงๆ

48 วัน...ก่อนวันแต่งงาน(2)



วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ.254
ณ บ้านพักตากอากาศฝั่งตะวันออกของเมืองกรุง


สืบเนืองจากฉบับที่แล้วขออธิบายเพิ่มเติมสักเล็กน้อย เหตุที่ไปเขียนที่โรงพยาบาลเพราะไปเยี่ยมยายและมีช่วงเวลาว่างเนื่องจากน้าเล็กกลับบ้านไปเอาเสื้อผ้าก็เลยนั่งเล่นเป็นเพื่อนยายอยู่ในห้องพักคนป่วย....

หลังจากที่พูดคุยกันเรื่องแต่งงานในตอนเที่ยงของวันเสาร์ที่ 25 มิถุนายนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เย็นวันนั้นผมกับป้อก็มานั่งที่ร้านกาแฟใกล้กับ Max Value นวมินทร์ เริ่มทำการบันทึกภาพผ่านทางยูทูปเพื่อประกาศเรื่องแต่งงานของเราทั้งสองคนให้เพื่อนๆทราบ รวมทั้งเปิด Fan Pageใน Facebook ชื่อ Khwan and Pat ..Coffee White Choc เพื่อการแต่งงานครั้งนี้โดยเฉพาะและมีจุดประสงค์เพื่อรายงานความคืบหน้าการแต่งงานและติดต่อกับเพื่อนๆผ่านทางช่องทางนี้

บ่ายวันอาทิตย์ถัดมาอีกหนึ่งวันหลังจากตีแบดในตอนบ่ายกับญาติเป็นที่เรียบร้อย ตอนประมาณสักสี่โมงเย็นผมกับป้อก็แวะมาที่ร้านวิวาห์เพื่อติดต่อเรื่องเช่าชุด ของชำร่วยและการ์ดแต่งงาน หลังจากลองชุดทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ดูแบบการ์ดแต่งงานพร้อมทั้งของชำร่วยแล้วปรากฏว่าราคาค่อนข้างสูง ส่วนเรื่องชุดสวยถูกใจแต่ราคาเช่าก็แพงเช่นกัน เราจึงแค่ขอนามบัตรและบอกว่าวันพรุ่งนี้ช่วงบ่ายเราจะแจ้งอีกทีว่าตกลงหรือไม่ เราก็บอกเขาไปตามตรงนะว่านี้เป็นร้านแรกที่มาดูขอไปเปรียบเทียบราคาก่อน

เช้าวันรุ่งขึ้น คือวันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน ช่วงเช้าเรามีนัดเพื่อพูดคุยรายละเอียดและวางเงินมัดจำบางส่วนกับทางโรงแรมเมอร์เคียว ช่วงบ่ายขับรถกลับมาแถวบ้านนวมินทร์เพื่อติดต่อร้านวิวาห์อีกร้านซึ่งแถวๆบ้านเช่นกัน

เราขับรถเข้าไปจอดหน้าร้าน เปิดประตู ทักทายสวัสดีพี่เจ้าของร้าน รู้ชื่อต่อมาคือ “พี่วิ” หลังจากที่พูดคุยให้พี่วิฟังในสิ่งที่เราต้องการ ผมก็ทราบเพิ่มเติมว่าพี่เขาเป็นคนสุราษฎร์ จากภาษากลางก็เปลี่ยนเป็นภาษาใต้ทันทีส่งผลให้การพูดคุยมีบรรยากาศที่เป็นมิตรมากขึ้น ในทีสุดเราทั้งคู่พอใจในสิ่งที่พี่เขาเสนอมารวมทั้งพอใจในบริการที่พี่เขามีให้ สรุปคือถูกคอกันนั้นเอง

สิ่งที่เราได้ตกลงกับทางร้านคือ Package Wedding ได้ถ่ายรูป Pre wedding ในสตูดิโอทั้งหมดสี่ชุด ได้กรอบรูป (ขนาดเท่าไหร่จำไม่ได้แต่เป็นอันเดียวกันกับที่ใช้หน้างานวันแต่ง) พร้อมกรอบเล็กที่ใส่รูปได้อีกห้าใบ ได้ชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวรวมสี่ชุดคืองานเช้าและงานเลี้ยง นอกจากนี้เรายังมาเจอการ์ดแต่งงานในแบบที่ถูกใจคือเป็นแบบไปรษณียบัตรรูปเจ้าบ่าวและเจ้าสาว พร้อมรายละเอียดของงาน สรุปเราเลือกร้านนี้และนัดหมายวันเวลาเพื่อทำการถ่ายรูปในสตูดิโอ แน่นอนเราไม่ลืมที่จะโทรกลับไปร้านแรกเพื่อขอโทษและเสียใจที่ไม่ได้ใช้บริการ

เสร็จจากร้านวิวาห์เราทั้งคู่รีบเดินทางต่อไปยังวัดสุวรรรประสิทธิ์ นวมินทร์ 42 เพื่อติดต่อจองคิวและนิมนต์พระ 9 รูปสำหรับงานในวันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม แต่เราไปถึงวัดประมาณห้าโมงเย็น เราช้าเล็กน้อย...ห้องคลังที่จัดการเรืองติดต่อนิมนต์พระปิดไปแล้วแต่โชคดีที่เจอหลวงพี่ท่านหนึ่ง ท่านให้ผมเดินตามไปที่กุฏิเพื่อจะให้เบอร์โทรศัพท์สำหรับโทรมาติดต่อทางวัดในวันรุ่งขึ้น หลวงพี่ท่านก็ใจดีจดรายละเอียดเรื่องวันเวลา สถานที่และจำนวนพระที่จะนิมนต์ผมเพียงแค่โทรมาแจ้งเท่านั้น

เพียงวันจันทร์วันเดียวแต่สามารถติดต่อและมีความคืบหน้าในงานแต่งงานมากพอสมควรทั้งสถานที่ ชุดวิวาห์ การ์ดแต่งงาน และนิมนต์พระ

อาทิตย์หน้าวันเสาร์ที่ 2 กค. เราทั้งสองมีคิวต้องไปสวนจตุจักรกันต่อเพื่อเสาะหาของเพิ่มเติม!!!
ถามว่าเหนื่อยไหม...ตอบว่าเหนื่อยฮะ!!!

48 วัน...ก่อนวันแต่งงาน(1)


วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ณ โรงพยาบาบาลสินแพทย์ ห้อง 712


เนื่องด้วยงานแต่งงานเมื่อวันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ที่ผ่านมา มีเรื่องราว เหตุการณ์และหลายสิ่งที่อยากจะถ่ายทอดเล่าสู่กันฟังพร้อมทั้งแบ่งปันกับเพื่อนๆ

งานแต่งงานที่จัดขึ้นที่โรงแรมแกรนด์เมอร์เคียว รัชดาเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาสามารถแบ่งงานออกได้เป็นสามช่วงด้วยกันคือก่อนงาน ระหว่างงานและหลังงาน

จุดเริ่มต้นของงานแต่งงานนี้เริ่มต้นจากแม่ของผมเองที่เอ่ยปากเรื่องแต่งงาน “แต่งงานสะทีเถอะ” หลังจากนั้นน้าผม “น้าตุ๋ย” ก็เป็นฝ่ายจัดหาวันเวาลาที่เหมาะสม คำตอบที่ได้มาคือ “13 สิงหาคม”

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากต่อมาในวันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน 2554 ทั้งสองครอบครัวก็มาพบยังจุดนัดหมายตอนเที่ยง ณ ร้านอาหารครัวอาจารย์มัลลีกา ถนนเกษตร-นวมินทร์ ฝ่ายขอผมก็มี “แม่ น้าดำหรือคุณอัชฌา(ประธานในพิธีแต่งงาน) น้าปุกหรือคุณจีระวรรณ น้าเล็กคุณจตุพรและครอบครัวของพี่ชาย ส่วนฝ่ายป้อก็มีเพียงพ่อและแม่”

นัดเจอกันตอนเที่ยง ทุกฝ่ายมาถึงที่หมายโดยพร้อมเพรียงกัน เราเปิดห้องพิเศษเพื่อทำการพูดคุยเป็นการภายในเกี่ยวกับการสู่ขอ หมั้น แต่งงานและสินสอด” วันนั้นอาหารก็สั่งกันไปหลายอย่าง กินกันเอร็ดอร่อย การพูดคุยราบลื่น
เป็นอันได้ข้อสรุปว่า “วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ.2554 คือวันแต่งงาน”

เราทั้งคู่เพิ่งมาทราบภายหลังว่า “วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม” ที่น้าตุ๋ยจัดหามาให้เป็นวันที่ดีที่สุดวันหนึ่งของปี54 แต่น้าตุ๋ยหมายถึงให้เป็นวันสู่ขอเท่านั้น ฮาๆๆ สุดท้ายกลายเป็นวันแต่งงานสะงั้น

ถอยหลังจากวันที่ 25 มิถุนายน แม่ของผมคุยเรื่องแต่งงานสักประมาณหนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้านั้น แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจริงๆ เหมือนฟ้าผ่า...เปรี้ยงๆๆ

เราสองคนต้องเริ่มเตรียมงานทันทีเพราะเหลือเวลาเพียง 48 วันเท่านั้นคือเริ่มนับจากวันที่ 26 มิย.- 12 สค.
สิ่งที่ใหญ่ที่สุดของการจัดการคือสถานที่ เราจะเลือกจัดงานกันที่ไหนดีเพราะตัวเลือกที่มีประกอบด้วยโรงแรมเอเชีย โรงแรมเอสซีปาร์ค โรงแรมมารวย(แถวเกษตร) โรงแรมแกรนด์เมอร์เคียว รัชดาและบ้านก้ามปู(แถวเกษตรนวมินทร์) สุดท้ายเราทั้งสองตัดสินใจเลือกโรงแรมแกรนด์เมอร์เคียว

สาเเหตุที่เราเลือกโรงแรมแกรนด์เมอร์เคียวเพราะสถานที่ตั้งสะดวกในการเดินทางของเแขกทุกท่านเนื่องจากอยู่กลางเมืองและอยู่ในเส้นทางรถใต้ดิน

สำหรับเหตุที่จัดงานเลี้ยงตอนกลางวันเพราะสะดวกสำหรับแขกญาติผู้ใหญ่ทีจะไม่ต้องเดินทางกลับตอนค่ำๆ แขกผผู้ใหญ่บางท่านเดินทางมาจากต่างจังหวัดจะได้สะดวกในกรณีที่ต้องนั่งเครื่องบินกลับตอนเย็น แต่ประเด็นสำคัญคือเราจัดพิธีสงฆ์ พิธีหมั้นและพิธีแต่งงานที่โรงแรมช่วงเช้า การจัดเลี้ยงต่อเนื่องในตอนกลางวันจะสะดวกกับทุกฝ่าย

อันที่จริงเรื่องสถานที่ ข้อมูลและการติดต่อต่างๆป้อเป็นคนจัดการ ส่วนผมแค่รับทราบเป็นข้อมูลและแสดงความคิดเห็น ส่วนการตัดสินใจขั้นสุดท้ายก็เห็นตรงกันว่าโรงแรมเมอร์เคียวดีที่สุด

เรื่องใหญ่คือสถานที่จัดการไปเรียบร้อย แต่ยังเหลืออีกหลายเรื่องที่ต้องเตรียมการ...เยอะมาก!!!

ทำไมจะไม่เยอะเพราะมีทั้งเรื่องชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว เรื่องแต่งหน้าเจ้าบ่าวเจ้าสาว แหวนหมั้น การ์ดแต่งงาน ของชำร่วย ของไหว้แขกผู้ใหญ่ จำนวนและรายชื่อแขกที่จะต้องเชิญพร้อมที่อยู่ (อันนี้ยังไม่รวมการพิมพ์หน้าซอง) นิมนต์พระ(รวมทั้งBrief พระอาจารย์)และยืมของจากวัด Scriptรายละเอียดพิธีการในช่วงเช้าพร้อมผู้ดำเนินรายการ Scriptรายละเอียดพิธีการช่วงงานเลี้ยง เตรียมทีมงานงานช่วงงานเช้า และงานเที่ยง พิธีกรทั้งสองช่วง ฝ่ายประสานงานช่วงงานเลี้ยง รวมทั้งงานเอกสารคือค่าใช้จ่ายทั้งหมดในทุกรายกายที่เกี่ยวข้อง เท่าที่นึกได้ก็มีแค่นี้แหละ สรุปคือมันเยอะมากกกกกก


แค่เห็นสิ่งที่ต้องทำแล้ว...มันเยอะมาก!!!!!