การเดินทางครั้งล่าสุด"เชียงใหม่2"


วันพฤหัสบดีที่่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ณ บ้านนวมินทร์

     ผมใช้เวลาอีกสักพักอยู่ในห้องพักโรงแรมเดอะปาร์ค นอนดูทีวี ล้างหน้าล้างตา สักประมาณเกือบสิบเอ็ดโมง ผมก็จัดเอกสาร อุปกรณ์และกล้องถ่ายรูปลงย่้ามใบเก่งเตรียมตัวออกเดินทาง

     ด้วยอากาศที่ไม่น่าไม่วางใจ ผมเลือกที่จะใส่รองเท้าแตะและเตรียมเสื้อกันฝนมา้ด้วย เดินลงมาหน้าโรงแรมเลี้ยวซ้ายมองขวา ไม่เห็นรถสองแถวแดงสักคันก็เดินเล่นมาเรื่อยๆ จนมาถึงบริเวณเชียงใหม่แลนด์ ก็มีรถสองแถวแดงมาจอดพร้อมบริการที่จะไปส่งบริเวณกาดหลวงหรือตลาดวโรรส

     ผมมากระโดดลงจากสองแถวแดงพร้อมกับยื่นแบงค์ยี่สิบเป็นค่าโดยสารให้น้าคนขับรถแถวๆถนนข่วงเมรุหรือบริเวณด้านหลังตลาดวโรรสต่อกับถนนช้างม่อย

     ผมเดินตลอดจากถนนข่วงเมรุหรือด้านหลังตลาดวโรรสจนมาออกถนนช้างม่อย ซึงฝั่งตรงข้ามถนนที่ผมยืนนั้นคือตลาดนวรัฐ!!!



             (ฝั่งตรงข้ามที่เห็นคือ7-11อยู่ใกล้กับการตลาดต้นลำไย ส่วนถนนที่รถวิ่งมาคือถนนช้างม่อยกำลังเลี้ยวขวาเข้าถนนวิชชยานนท์)
   
     จากจุดนี้ตรงสามแยกข่วงแมรุ - ช้างม่อย ถ้าผมเลี้ยวขวาเดินไปจนสุดถนนช้างม่อยก็จะไปเจอ7-11บนถนนวิชชยานนท์ ณ ตรงนี้ถ้าหันหน้าไปยัง7-11 ฝั่งที่ผมยืนนี้คือตลาดวโรรส ฝั่งซ้ายมือผมคือตลาดนวรัฐฝั่งตรงข้ามถนนคือตลาดต้นลำไยและถ้าเดินทะลุตลาดต้นลำไยก็จะไปโผล่ตลาดดอกไม้ซึ่งตั้งอยู่บนถนนที่เรียบแม่้ำน้ำปิง "ถนนไปรษณีย์" 

     บริเวณตลาดดอกไม้ บนถนนไปรษณีย์ ถ้าหันหลังให้ตลาดด้านหน้าก็จะเป็นแม่น้ำปิง แม่น้ำคู่บ้านคู่เมืองคนเชียงใหม่ ถ้าเลือกที่จะเลี้ยวขวาแล้วเดินไปเรื่อยๆก็จะเจอสะพานนวรัฐ แต่ถ้าเลี้ยวซ้ายจะสังเกตุเห็นมีสะพานลอยข้ามถนนอยู่หน้าตลาดดอกไม้ ใช้สายตาทอดยาวไปตามสะพานลอยนี้มันก็จะกลายเป็นสะพานเล็กๆน่ารักข้ามแม่น้ำปิงเรียกว่า "สะพานจันทร์สม"

     ใช่แล้วครับ! ตลาดเหล่านี้ละครับที่ผมต้องสำรวจว่าแต่ละตลาดอยู่ตรงไหน แต่ละตลาดภายในเขาขายของอะไร แตกต่างกันไหม คือผมเดินสำรวจทั้งสี่ตลาดที่กล่าวมาข้างต้น เข้าตลาดนวรัฐ ข้ามมาตลาดวโรรส เดินลัดเลาะไปมาอยู่ภายใน แล้วก็ออกมาเดินตามถนนด้านหน้าตลาดวโรรสจนสุดตึก ถ้าต่อไปอีกนิดก็จะไปเจอถนนท่าแพ ถ้าเลี้ยวซ้ายก็จะไปสะพานนวรัฐ แต่ถ้าข้ามถนนท่าแพก็จะเข้าสู่ถนนช้างคลาน...จุดเริ่มต้นไนท์บาร์ซ่าส์เชียงใหม่

     พอจะนึกภาพออกใช่ไหมฮะ!!!

     จากตลาดวโรรสผมก็ข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามเพื่อเข้าไปตลาดต้นลำไยเป็นลำดับต่อไป ต้องบอกก่อนว่าถนนที่คั่นตลาดวโรรสกับตลาดต้นลำไย คือถนนวิชชยานนท์ 

     ผมเดินเข้าไปในตลาดต้นลำไย เดินทะลุเข้าไปข้างใน ของที่ขายก็มีทั้งของแห้ง เดินเข้าไปอีกก็จะเป็นตลาดสดขายสารพัดทั้งผัก หมู เป็ด ไก่ ปลาเหมือนตลาดสดทั่วไป เดินลัดเลาะมาเรื่อยๆก็จะมาโผล่ที่อีกฝากของถนนซึ่งเป็นบริเวณตลาดดอกไม้

     ผมเดินทั้งรอบนอกตลาดเป็นวงกว้าง เดินภายในตลาด เดินจนหมดเแรงและหิวข้าว ก็เลยต้องแวะเพิ่มพลังหาของกินทีตลาดสักหน่อย...เดี๋ยวลุยต่อ

     ที่จริงสามตลาดที่ยิ่งใหญ่บริเิวณนี้มีประวัติความเป็นมาที่ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว มันเป็นตลาดที่มีชีวิต มีจุดกำเนิด มีการเปลี่ยนแปลงเหมือนชีวิตคนๆหนึ่ง ถ้าใครจะมาตลาดวโรรสคราวหน้าก็หาข้อมูลสักนิด แล้วคุณจะรู้ว่ามันไม่ใช่แค่สถานที่ซื้อของฝากกลับไปให้เพื่อนฝูงหรือญาติสนิท

     ผมซัดก๋วยเตี้ยวไปสองถ้วย...อิ่มท้องตึง ได้เวลาตะลอนทัวร์กันต่อ

     ผมข้ามแม่น้ำปิงมาฝั่งวัดเกตุการาม ซึ่งอยุ่บนถนนเจิรญราษฎร์ โดยใช้สะพานจันทร์สม อดีตสะพานข้ามแม่น้ำปิงแห่งแรกของเชียงใหม่ ช่วงที่เดินบนสะพานเพื่อมุ่งหน้าไปวัดเกตุการาม โปรดสังเกตุว่าเจดีย์วัดเกตุฯไม่ตรงนะครับ เอียงเล็กน้อย...เอียงแบบตั้งใจ ไมใช่แกนโลกเอียงเด้อเพ่น้อง!

     ครั้งแรกในชีวิตกับวัดเกตุฯ ผมเดินสำรวจโดยรอบ ทั้งถ่ายรูป ทั้งเดินเข้าชมภายในตัววิหารและพิพัณฑ์พื้นบ้านวัดเกตุฯ ใช้เวลาไปพอสมควร ....ไปต่อดีกว่าเรา

     เป้าหมายวันนี้ยังไม่จบสิ้น ยังเหลืออีกที่นั้นคือวัดเจดีย์หลวง!!!

     จากฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิงผมเลือกใช้ "สองเท้า"นี่แหละครับ...เป็นพาหนะหลักในการเดินทางไปวัดเจดีย์หลวง

     ผมข้ามแม่น้ำปิงกลับมาโดยข้ามสะพานจันทร์สม เดินผ่านหน้าตลาดดอกไม้มาเรื่อยๆ ผ่านพิพิธภัณฑ์ไปรษณีย์เชียงใหม่ ตัดสินใจเลี้ยวขวาถนนข้างๆพิพิธภัณฑ์ก็มาโผล่ที่ถนนวิชชยานนท์ เลี้ยวซ้ายผ่านตลอดฮะ ก็จะผ่านหจก.อนุสารเชียงใหม่ที่มีสารพัดกิจการ ทั้งตลาดวโรรส ตลาดต้นลำไย ตลาดคำเที่ยง ตลาดอนุสาร โรงแรมอมารีรินคำ เชียงใหม่ โรงแรมริมกก เชียงราย รวมทั้งศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่ อาณาจักรทั้งหมดนี้เป็นของตระกูล "ชุติมา - นิมมานเหมินทร์"

     ผมเดินตลอดถนนท่าแพ ข้ามประตูเมือง มาถึงถนนราชดำเนิน...ในทีุ่สดก็ถึงครับพี่น้อง "วัดเจดีย์หลวง" เป้าหมายสุดท้ายของวันนี้

  (ด้านบนเป็นของวัดสวนดอก ส่วนรูปล่างเป็นของวัดเจดีย์หลวง)

     ผมมาที่วัดไม่ได้มาเที่ยวนะฮะ แวะมาติดต่อพระอาจารย์ที่มุม "Monk Chat" เพราะผมต้องพาคณะครูและนักเรียนมาเข้าโปรแกรมนี้ในช่วงบ่ายวันที่ 17 กันยายน 2554
     ติดต่อและพูดคุยในรายละเอียดกับพระอาจารย์ต้นพร้อมกับได้เบอร์มือถือเป็นที่เรียบร้อย เป็นอันว่าภาระกิจวันนี้ที่วางเอาไว้ สำเร็จลุล่วงทุกประการจริงๆ

     ต้องบอกก่อนว่าสถานที่แรกที่อยู่ในเป้าหมายคือวัดสวนดอก แต่ที่วัดสวนดอกมีโปรแกรมMonk Chatเฉพาะวันจันทร์ - พุธ - ศุกร์ เท่านั้น ทำให้ต้องเปลี่ยนมาใช้บริการที่วัดเจดีย์หลวงแทนเพราะว่าสะดวกว่าและมีทุกวันจนถึงหกโมงเย็น ส่วนค่าบริการก็ไ่ม่มีครับ เปลี่ยนเป็นการทำบุญแทน

     Monk Chat คืออะไร แปลง่ายๆก็คือการไปนั่งสนทนา พูดคุยกับพระนั้นเอง โดยพระจะพูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ชาวต่างชาติที่ไม่มีความเข้าใจหรือต้องการความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระ สามารถแวะมาพูดคุยได้ สอบถามได้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับพระ วัตรปฏิบัติและธรรมวินัย

     หนทางอีกยาวไกล ฝนก็เริ่มจะตกลงมาเรื่อยๆ....
   
     ผมจะต้องเดินอีกยาวไกลจากวัดเจดีย์หลวงกว่าจะกลับถึงโรงแรมเดอะปาร์ค

     แล้วเจอกันใหม่...ในตอนต่อไป ภาระกิจยังไม่จบครับพี่น้อง!!!
























การเดินทางครั้งล่าสุด "เชียงใหม่ 1"



วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554 
ณ บ้านพักตากอากาศชายขอบกรุงเทพด้านตะวันออก 

    เสร็จงานมาก็หลายวันแล้ว ตั้งใจเอาไว้ว่าจะเขียนบันทึกช่วยจำสำหรับงานที่เพิ่งเสร็จลงไปเมื่อวันที่ 29 กันยายน ที่ผ่านมา

     งานชุดที่เพิ่งทำเสร็จลงไปเป็นกรุ๊ปนักเรียน Holy Spirit College , Mackay จากประเทศออสเตรเลีย แน่นอนต้องมาจากเอเย่นต์เจ้าประจำนั้นคือ Travel Indochina

     อันที่จริงงานชุดนี้เริ่มวันที่ 16 กันยายน แต่ผมขออนุญาตเจ้านายคือ"พี่สุวรรณี" ขึ้นมาเชียงใหม่ล่วงหน้าสองวันก่อนกรุ๊ปจะเข้า ปกติแล้วเนี่ยโปรแกรมอย่างนี้จะใช้ไกด์สองคนคือ คนหนึ่งทำส่วนของทริปทางเหนือ อีกคนรับไม้ต่อทำส่วนของกรุงเทพและปริมณฑล แต่ทางเอเย่นต์เมืองนอกต้องการใช้ไกด์คนเดียวทำตลอดทั้งทริป หวยชุดนี้ก็เลยตกมาที่ผม!!

     ก่อนถึงวันเดินทางที่ผมต้องนั่งเครื่องบินไปเชียงใหม่ล่วงหน้าสองวัน ผมได้ให้น้องชายจองตั๋วเครื่องบินผ่านทางเว็บและจ่ายเงินผ่านทางบัตรเครดิตเป็นที่เรียบร้อย โดยพิจารณาจากโปรโมชั่นของหลายสายการบินสุดท้ายตัดสินใจใช้บริการของ"บางกอกแอร์เวย์"

     พอได้เที่ยวบินเป็นที่เรียบร้อยผมก็แจ้งไปทางเจ้านายร้บทราบ ทางบริษัทก็ใจดีจองโรงแรมเดอะปาร์คให้สองคืน แต่กรุ๊ปเข้าเช๊คอินที่โรงแรมเชียงใหม่พลาซ่า

     น่าเศร้าใจ!!!
     ทางโรงแรมเชียงใหม่พลาซ่า"ไม่มี"ห้องราคาไกด์ นั้นหมายความว่าถึงแม้จะมีกรุ๊ปเข้ามาทางบริษัทก็ต้องจ่ายค่าห้องผมเท่ากับห้องพักของแขก และนี้คือเหตุผลว่าทำไมผมถึงต้องไปนอนที่เดอะปาร์ค
   
     แน่นอนเมื่อกรุ๊ปเข้ามา ผมก็จะย้ายไปนอนที่โรงแรมเชียงใหม่พลาซ่า

     ทุกอย่างเตรียมการไว้เรียบร้อย ผมพร้อมเดินทาง!!!

     เช้าวันที่ 14 กันยายน ผมให้แท๊กซี่มารับที่บ้านเพื่อไปส่งที่สนามบินสุวรรณภูมิ

     ใช้เวลาไม่นานจากบ้านผมก็มาถึงสนามบิน ผมรีบเดินไปเช๊คอินที่เคาท์เตอร์ของ"บางกอกแอร์เวย์" สำหรับเที่ยวบิน PG 215 08.05 บอกชื่อและนามสกุลเรียบร้อย

     แต่จนท.พูดว่า "ผมขอนุญาตดูบัตรเครดิตหน่อยครับ"
     ผมนึกในใจ "ฉิบหายแล้ว" แล้วก็ตอบไปว่า "ผมจองและจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิจของน้องชายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว"
     เจ้าหน้าที่ "มันเป็นเงื่อนไขที่ระบุเอาไว้ในเว็บครับ ผู้จองต้องแสดงบัตรเครดิตเวลาเช๊คอิน"
     ผม "ผมไม่มีครับ ต้องทำยังไง"

     สุดท้ายเจ้าหน้าที่ต้องยกเลิกที่นั่งผมสำหรับเที่ยวบินนั้น แต่จนท.บอกว่า "ผมสามารถซื้อตั๋วเครื่องบินใหม่ได้ โดยบินเที่ยวบินเดิมราคาเดิมตามโปรโมชั่น แต่ต้องจ่ายเป็นเงินสดแทน ส่วนเงินที่จ่ายผ่านบ้ตรเครดิตไปทางสายการบินจะทำเรื่องยกเลิกและสามารถขอเงินคืนจากทางบ้ตรเครดิตได้"

     สิ้นคำพูดสุดท้ายของจนท.บางกอกแอร์เวย์ ผมรีบเดินไปที่ตู้เอทีเอ็มที่อยู่ใกล้ที่สุด ถอนเงินเรียบร้อยแล้วรีบกลับมาซื้อตั๋วเครื่องบินใหม่!!

     พนง.บางกอกแอร์เวย์ที่ออกตั๋วก็ให้เอกสารที่ทำเรื่องยกเลิกเงินที่จ่ายผ่านบัตรเครดิตให้ผมพร้อมกับตั๋วเครื่องบิน

     ทุกอย่างเรียบร้อย ผมเดินกลับเข้ามาเช๊คอินอีกรอบกับจนท.คนเดิม คราวนี้ไม่มีปัญหาครับ ได้Boarding Passกำไว้ในมือ ได้บินไปเชียงใหม่แน่ๆแล้วเรา

     ช่วงรอขึ้นเครื่อง ผมก็มานั่งทานกาแฟและของว่างที่เลาจน์ของสายการบิน เมื่อเจ้าหน้าที่ประกาศเรียกขึ้นเครื่องบิน นั้นหมายความว่าอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้าผมจะไปปรากฏตัวอยู่ที่สนามบินเชียงใหม่อีกครั้ง

     ดีใจจริงๆครับ ที่ได้กลับมาเชียงใหม่อีกรอบ หลังจากที่ห่างหายไปนานตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกราคมปีเดียวกัน มีหลายสิ่งที่ต้องทำและมีสิ่งที่ต้องค้นหาหลังจากที่ค้างคาไปตั้งแต่เดือนมกราคม

     จากสนามบินเชียงใหม่ ผมนั่งรถสองแถวสีแดงไปยังโรงแรมเดอะปาร์คที่จองเอาไว้ รถมาส่งผมถึงจุดหมายและผมก็จ่ายค่าโดยสารไป 50 บาท

     เข้าเช๊คอิน รื้อกระเป๋า เตรียมเอกสาร เตรียมอุปกรณ์และนั่งนึกในใจคร่าวๆว่าวันนี้เราต้องทำอะไรและพรุ่งนี้ต้องทำอะไร อย่าลืมนะครับว่าผมมีเวลาเตรียมงานแค่สองวันเท่านั้น

     ได้ข้อสรุปคร่าวดังนี้ครับคือวันนี้ต้องไปเดินสำรวจตลาดวโรรส ตลาดนวรัฐ ตลาดต้นลำไย ตลาดดอกไม้ ซึ่งมันก็อยู่ในที่เดียวกันทั้งหมด หลังจากนั้นค่อยข้ามแม่น้ำปิงไปสำรวจวัดเกตุการาม ต่อด้วยวัดเจดีย์หลวงเพื่อติดต่อเรื่องMonk Chat

     สำหรับอีกวันที่เหลือ จะเดินทางไปวัดสวนดอกเพื่อสานฝันให้สมบูรณ์นั้นคือตามหากู่เจ้าน้อยศุขเกษมและแม่นางมะเมี้ยะ จิบกาแฟแถวนิมมานเหมินทร์และดูร้านอาหารเพื่อเตรียมที่จะพาคณะนักเรียนมาทานอาหารกลางวัน    

     ติดตามตอนต่อไป....




วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ณ บ้านพักตากอากาศ ชายแดนด้านตะวันออกของกรุงเทพ
“...ล่องดำเนิน เพลิดเพลินอัมพวา..”


สืบเนื่องจากฉบับที่แล้วที่ผมนั่งรถไฟจากสถานีนาขวางมาสถานีแม่กลอง สิ้นสุดการเดินทางภาคแรกที่สถานีแม่กลอง ณ ริมฝั่งแม่น้ำกลอง

ฉบับนี้เรามมว่ากันต่อ แต่เป็นการเดินทางอีกรูปแบบนั้นคือ “เรือหางยาว”

ตามโปรแกรมวันนั้นผมต้องพานักท่องเที่ยวชาวอังกฤษสี่คนไปเที่ยวตลาดน้ำท่าคา นั่งเรือพายชมการทำน้ำตาลมะพร้าวและต่อด้วยเรือหางยาวไปอุทยาน ร.๒ แต่วันนั้นไม่ตรงกับวันของตลาดน้ำท่าคาหมายถึงไม่มีตลาดนั้นเอง
เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะตลาดน้ำท่าคาจะมีเฉพาะวันขึ้นหรือแรม 2 ค่ำ 7 ค่ำ 12 ค่ำ ตั้งแต่เวลาประมาณ 06.00- 12.00 น (ทุก ๆ 5 วัน) เท่านั้น ปัจจุบันมีเพิ่มวันเสาร์และอาทิตย์ด้วย แต่วันที่ผมไปคือวันจันทร์....อดเลย!

พลาดจากท่าคา ผมก็วางแผนจะไปนั่งเรือพายที่ “ตลาดน้ำคลองลัดพลี” แทน ไม่เสียเวลาหลังจากที่กลับมาขึ้นรถตู้ผมรีบโทรไปจองเรือพายหนึงลำที่คลองลัดพลีทันทีเพื่อป้องกันความผิดพลาด
เราใช้เวลาเดินทางจากสถานีแม่กลองไปตลาดน้ำคลองลัดพลีประมาณครึ่งชั่วโมง เออ...ผมลืมบอกไปว่าท่านที่ขับรถมาเที่ยวตลาดร่มหุบที่แม่กลองสามารถจอดรถได้ที่วัดนะฮะ...บริเวณนั้นมีอยู่วัดเดียว ขออภัยผมจำชื่อวัดไม่ได้แต่ลานจอดรถอยู่ฝั่งตรงข้ามวัด หาไม่ยากครับ

ส่วนตัวตลาดน้ำคลองลัดพลี ถ้าขับรถมาเองท่านก็ใช้เส้นทางเดียวกับที่จะมาตลาดน้ำดำเนินสะดวก พอขับผ่านสามแยกไฟแดงที่จะไปอัมพวา ก็ขับตรงมาเรื่อยๆก็จะเจอสี่แยกไฟแดงถ้าเลี้ยวซ้ายก็จะไปตลาดน้ำดำเนินสะดวก แต่เราขับตรงไปก็จะข้ามสะพานคลองดำเนินสะดวก ลงจากสะพานก็จะเจอไฟแดงให้เตรียมเลี้ยวซ้ายตรงแยกไฟแดงนี้ครับ ไม่พลาดแน่เพราะจะมีป้ายบอกว่าไปตลาดน้ำคลองลัดพลี จากถนนสี่เลนพอเลี้ยวซ้ายก็จะเป็นสองเลน ขับตามทางไปเรื่อยๆประมาณ ๓ กม.ทางเข้าตลาดน้ำคลองลัดพลีก็จะอยู่ทางซ้ายมือ แม่นแล้วครับมันคือทางเข้าวัดสุ่นหรือวัดราษฏร์เจริญธรรมนั้นเอง

บรรยากาศตลาดน้ำคลองลัดพลีจะไม่คึกคักเท่าตลาดน้ำดำเนินสะดวก แต่ในคลองก็มีแม่ค้าขาพ่อค้าขายอาหารเหมือนกัน

ความสนุกของการมาเที่ยวตลาดน้ำคือต้องนั่งเรือพายครับ ป้าๆน้าๆแรือพายที่นี้น่ารักพี่ๆน้องๆสามารถติดต่อ คุยเรืองราคาเรือได้เลยนะฮะ ราคาคุยกันได้ เป็นกันเองที่สุด

ผมก็พาฝรั่งสี่คนมานั่งเรือพายที่นี้ ได้พี่สาวคนสวยเรือพายเบอร์ ๑๖ เป็นคนพาย บรรยากาศนั่งเรือพายจากตรงนี้ไปตลาดน้ำดำเนินสะดวก เงียบ สงบ สวยงาม บ้านเรือนสองข้างคลองเรียบง่าย แต่เรือพายไม่มีหลังคานะครบ แนะนำให้นำหมวกและแว่นกันแดดไปด้วยจะดีมาก

เรานั่งเรือพายกับมาเงียบๆ เพลินกับบรรยากาศสองข้างทาง ไม่นานก็มาโผล่ที่คลองดำเนินสะดวก ไม่ไกลเราก็มาถึง “ตลาดน้ำดำเนินสะดวก” จากความเงียบเรามาปะทะกับความวุ่นวายของพ่อค้าแม่ขาย เรือพาย เรือยนต์ ร้านขายของที่ระลึกที่เต็มไปทั้งสองข้างทาง เรานั่งเรือพายฝ่าความวุ่นวายของพ่อค้าแม่ค้าไปเรือยๆจนมาถึงจุดจอดเรือที่ “เตาตาลบ้านบังและ”
ผมจอดเรือที่นี้เพื่อให้แขกได้มีโอกาสชมการทำน้ำตาลจากยอดมะพร้าว ที่นี้เขาทำกันทุกวัน ทำกันสด ๆขายกันสดๆ วันนั้นโชคดีได้ดูเขาสาธิตการปีนต้นมะพร้าวเพื่อเก็บน้ำตาลจากดอกมะพร้าว ไอ้เจ้าตัวน้ำตาลนี้จะแหละต้องนำมาเคียวในกะทะใบใหญ่อีกทีเพื่อให้ได้น้ำตาล

นอกจากนี้ทานเตาตาลบังและยังมีน้ำตาลสดไว้บริการลูกค้า ชิมฟรีไม่เสียตังค์นะครับ วันนั้นผมซัดไปสามแก้ว...โคตรชื่นใจเลย

เราใช้เวลาที่เตาตาลบังและกันพอสมควร ผมและแขกทั้งสี่ก็กลับมานั่งเรือพาย “วัดสุ่น เบอร์ ๑๖” เพื่อให้เขาไปส่งที่คลองต้นเข็ม หลังจากนั้นผมก็จะปล่อยแขกให้เดินเล่นที่ตลาดน้ำดำเนินสะดวกตามเวลาอันสมควร ก่อนที่เราทั้งหมดจะนั่งเรือหางยาวไปอัมพวาและอุทยาน ร. ๒ ต่อไป

เรือหางยาวที่เราจะนั่งต่อจากดำเนินสะดวก ไปออกแม่น้ำแม่กลอง ปลายทางคืออุทยาน ร.๒ ผมติดต่อหนึ่งวันล่วงหน้าและผมก็นัดหมายเรือให้มารับที่คลองต้นเข็มหรือแถวตลาดน้ำดำเนินนั้นแหละครับ

น้าคนขับเรือชื่อ “แต้ม” ตลอดทางที่นั่งเรือน้าแต้มได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจหลายอย่าง รวมทั้งบอกด้วยว่าถ้านั่งจากตลาดน้ำท่าคาจะมาโผล่ตรงไหน....

ระยะเวลาคร่าวๆที่เราจะใช้เดินทางทั้งหมดประมาณหนึ่งชั่วโมง นั่งเรือไปแบบเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน ชมบรรยากาศสองข้างทางไปแบบเพลินๆ

หลังจากนั่งเรือหางยาวมาได้สักพักเราก็แวะให้อาหารปลาที่ “วัดปรก” เป็นวัดแรกที่เราผ่านนับตั้งแต่นั่งเรือมา เราจอดซื้ออาหารปลากันที่นี้ ราคาไม่แพงฮะ ถุงละสิบบาทเท่านั้น ปลาที่เห็นส่วนมากก็เป็นปลาตะเพียนหางแดง วันนั้นผมซื้อไปทั้งหมดห้าถุง....เลี้ยงปลากันสนุกสนานไปเลย แต่ถ้าใครสนใจอยากจะลงไปเดินเล่นที่วัดก็ได้นะครับ ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด

นั่งเรือมาสักพักน้าแต้มก็กระซิบบอกผมว่า “ที่ดินด้านซ้ายมือที่กำลังก่อสร้างเป็นขององค์โสมฯ” ท่านได้ที่ดินมาจากเพื่อนอีกที เป็นการแบบให้เปล่า....ความลับนะฮะ อย่าไปบอกใครละกัน เหยียบไว้ตรงนี้เลย!!!

กำลังนั่งเรือชมบรรยากาศเพลิน น้าแต้มก็มาสะกิดบอกว่า “ตรงคุ้งน้ำนี้มันเหมือนสี่แยก คือทางขวาตามคลองก็จะไปโผล่แม่กลอง (อันนี้เป็นเส้นทางที่เราต้องไปอยู่แว้ว ) แต่ทางซ้ายมือจะคล้ายๆเป็นแยกตัว “Y” แยกด้านบนซ้ายนั้นแหละที่เราสามารถไป “ตลาดน้ำท่าคา” ได้ หมายถึงเรือจากทาค่าก็จะมาโผล่ตรงนี้นั้นเอง จุดสังเกตุตรงนี้คือ “วัดบางน้อย”

น้าแต้มให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ช่วงน้ำแล้งหรือหน้าแล้งคลองเส้นท่าคาเรือก็วิ่งไม่ได้เพราะติดท้องร่อง !!!

จากจุดนี้คลองก็คดเคี้ยวไปมา ผมสังเกตุมีโฮมสเตย์น่ารักอยู่สองสามแห่ง...น่าพักเหมือนกัน ไม่นานเราก็มาโผล่ ณ แม่น้ำแม่กลอง สำหรับท่านที่ต้องการแวะชมค่ายบางกุ้ง ที่วัดบางกุ้งก็สามารถแวะชมได้นะครับ เพราะหน้าวัดมีท่าน้ำสามารถจอดเรือแล้วลงไปเดินเที่ยวได้ จุดสังเกตุหลังจากที่เรามาโผล่แม่น้ำแม่กลองคือวัดที่สามเป็นวัดบางกุ้ง วัดแรกที่เห็นชื่อวัดกลางเหนือ ถัดมาคือวัดศรีจินดาวัฒนาราม แล้วต่อด้วยวัดบางกุ้ง

จากคลองแคบๆเล็กๆสามารถมองทั้งสองฝั่งได้อย่างสบายๆ แต่พอเปลี่ยนมาเป็นแม่น้ำแม่กลอง โอ้วแม่เจ้า!!! มันช่างกว้างใหญ่จริงๆ ถ้าอยากจะเห็นอีกฝั่งให้ชัดเจนคงต้องส่องกล้องกันละครับพี่น้องงงงง

ก่อนที่จะถึงจุดหมายคืออุทยาน ร.๒ น้าแต้มขับเรือพาไปเที่ยวตลาดน้ำอัมพวา ได้เห็นตลาดน้ำในวันธรรมดา ที่เงียบสงบ เห็นร้านค้า ร้านอาหารและท่าเทียบเรือ รวมทั้งกลุ่มของบ้านเรือนแถวที่อยู่ในโครงการของพระเทพฯ ชื่อว่า “โครงการอัมพวาชัยพัฒนานุรักษ์ “ สังเกตุง่ายๆเวลาท่านไปเที่ยวตลาดน้ำอัมพวา ถ้าเห็นธงของพระเทพฯ...นั้นละครับ เรือนแถวทั้งหมดเป็นของท่าน ที่ดินและบ้านทั้งหมดท่านไม่ได้ซื้อน่ะครับ มีชาวบ้านถวายให้พระเทพฯ ท่านก็ทรงรับไว้และทำการอนุรักษ์เป็นอย่างดี น้าแต้มยังบอกอีกว่าสถานที่แห่งนี้แพระเทพฯท่านทรงโปรดเสด็จเป็นการส่วนพระองค์เช่นกัน

สุดท้ายเราก็ต้องลาน้าแต้มที่ท่าเรือของอุทยาน ร.๒ สำหร้บท่านที่มีแรงก็สามารถเดินจากอุทยาน ร.๒ ไปตลาดน้ำอัมพวาได้นะครับ ....เดินใกล้นิดเดียวก็ถืงแล้ว
แต่วันที่เราไปอากาศร้อนมาก ไม่ไหวแล้ว บ่ายโมงแล้ว...ได้เวลาร้บประทานอาหารเที่ยง วันนี้ผมเลือกไปทานที่ “ร้านชมเดือน” เป็นโฮมสเตย์และร้านอาหาร บรรยากาศดีเพราะติดแม่น้ำ อาหารหร่อยจังฮุ้!!! แต่มีอีกร้านที่น้าแต้มแนะนำคือ “ร้านชาวเล” เอาไว้โอกาสหน้าจะแวะไปชิม....







“...นั่งรถไฟไปตลาดร่มหุบ...”



วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ณ โรงแรมแชงกรีลา



เนื่องด้วยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาผมได้รับมอบหมายให้ทำงานชุดหนึ่งคือต้องพาแขกต่างชาติไปนั่งรถไฟที่ “สถานีนาขวาง” เพือเดินทางไปแม่กลอง (ตลาดร่มหุบ) แล้วต่อด้วยตลาดน้ำท่าคา นั่งเรือพายชมธรรมชาติแพร้อมแวะชมการทำน้ำตาลมะพร้าว ก่อนที่จะนั่งเรือหางยาวไปอุทยานร.2 ปิดท้ายด้วยการรับประทานอาหารกลางวันก่อนที่จะเดินทางกลับกรุงเทพ

แล้วเรื่องราวที่จะมาเล่ามันอยู่ตรงไหน มันอยู่ตรงนี้ครับพี่น้อง...ผมไม่เคยนั่งรถไฟขบวนนี้มาก่อน รวมทั้งตลาดน้ำท่าคาไม่ได้ไปมานานมากนึกสภาพไม่ออกจริงๆ ส่วนการนั่งเรือพายและเรือหางยาวที่ตลาดน้ำท่าคาหายห่วง..ยังไม่เคยทำ นี้แหละครับทำให้เป็นประเด็นที่ผมจะนำมาเขียนให้พี่น้องได้อ่านกันเพื่อเป็นการแบ่งปันประสบการณ์

เรื่องรถไฟที่สถานีนาขวางน่าสนใจ ส่วนเรื่องนั่งเรือหางยาวไปอุทยานร.2 ได้ข้อมูลที่น่าสนใจพอสมควรจาก “น้าแต้ม” คนขับเรือหางยาวได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจ....ติดตามกันต่อไป!!!

เช้าวันนี้ผมออกเดินทางจากโรงแรม Chatruim riverside Hotel ด้วยรถตู้ตอนเจ็ดโมงเช้า เป้าหมายของเราคือไปไปขึ้นรถไฟขบวน “บ้านแหลม - แม่กลอง” เพื่อสัมผัสกับบรรยากาศตลาดร่มหุบบนรถไฟ โดยส่วนมากนักท่องเที่ยวจะเดินทางมาตลาดร่มหุบทางรถเพราะเป็นเส้นทางที่จะผ่านไปตลาดน้ำดำเนินสะดวก

เช้าวันนี้การจราจรติดขัดเล็กน้อยในกรุงเทพฯทำให้เราต้องทำเวลาพอสมควรเพื่อไปให้ถึง “ สถานีนาขวาง” ก่อน 08.04 อันนี้คือเวลาที่รถไฟจะมาถึงที่สถานี ด้วยประสบการณ์ของคนขับรถทำให้เรามาถึงที่สถานีก่อนแปดโมงเล็กน้อย ต้องบอกก่อนว่าทั้งผมและคนขับรถ “ประพาส” ไม่เคยมาที่นี้มาก่อน แต่หนึ่งวันล่วงหน้าผมได้บอกให้พี่คนขับรถทำการบ้านเป็นที่เรียบร้อย อีกทั้งเช้าวันนี้ก่อนออกเดินทางมาจากบ้านผมไม่ลืมที่จะนำเอาGPSมาด้วย

หลังจากที่เรานั่งรถข้ามแม่น้ำท่าจีน ผ่านวัดเกตุมวดีและวัดกาหลง ต่อไปคือสะพานข้ามทางรถไฟ พอถึงจุดนี้เคนขับรถชิดซ้ายเพื่อทำการจอดที่สถานีนาขวาง ถูกต้องแล้วครับ! สถานีนี้อยู่ใต้สะพานข้ามรางรถไฟนั้นเอง
ข้อมูลที่พี่คนขับได้มาคือสถานีอยุ่ใต้สะพาน แต่GPSผมอยู่เลยใต้สะพานมานิดหน่อย สรุปคือข้อมูลของพี่คนขับรถถูกต้อง!
ตัวสถานีนาขวางเป็นชานชลาปูนธรรมดา มีป้ายบอกสถานีพร้อมกับเวลาที่รถไฟจะมาถึง เรามาถึงก่อนเวลาประมาณสิบนาที....สบายใจได้ แต่เพื่อความมั่นใจผมได้ถามพี่ผู้หญิงคนหนึงซึ่งรอรถไฟเช่นกัน คำตอบที่ได้คือ “ถูกต้องนะคร้าบบบบบบบบ”

ครั้งแรกของการขึ้นรถไฟขบวน “บ้านแหลม – แม่กลอง” ผมไม่ลืมที่จะถ่ายรูปเก็บเอาไว้ จนฝรั่งสัญชาติอังกฤษถามว่า “มาครั้งแรกรึ” ผมก็ตอบสวนไปทันที “แม่นแล้วเด้อ” แต่ที่หนักกว่านั้นคือรถไฟไม่ได้มาตามเวลาที่กำหนด (08.o4) แต่รถไฟมาถึงสถานีนาขวาง ณ เวลา 08.37 ช้าไปกว่าครึ่งชั่วโมง. รถไฟมาช้าผิดปกติทำให้ผมต้องโทรไปที่สถานีแม่กลองเพื่อตรวจสอบว่ารถไฟวิ่งตามปกติไหม? คำตอบคือวิ่งตามปกติครับ...รอต่อไป!

รถไฟขบวนนี้เป็นดีเซลรางสองตู้ มีเจ้าหน้าที่ขายตั๋วบนรถ บริเวณท้ายขบวนมีห้องเล็กๆห้องหนึ่งสามารถถ่ายรูปได้เมื่อถึงตลาดร่มหุม แต่หน้าประตูมีป้าย “ห้ามเข้า”

ทำไมต้องมาขึ้นที่สถานีนาขวาง?

ต้องขอบอกก่อนว่ารถไฟขบวน “บ้านแหลม – แม่กลอง” วิ่งไปและกลับวันละแปดเที่ยว (มาสี่ กลับสี่) โดยขบวนที่ผมขึ้นตามตารางต้องออกจากบ้านแหลม 07.30 และจะไปถึงสถานีแม่กลอง 08.30 ส่วนตัวสถานีนาขวางจะอยู่ใกล้ถนนเส้นธนบุรี – ปากท่อมากที่สุด สำหรับสถานีอื่นๆนั้นแยกออกไปจากตัวถนนสายหลักพอสมควร อีกทั้งระยะทางจาก “นาขวาง – แม่กลอง” ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น

สำหร้บรถบัสคงไม่สามารถใช้เส้นทางนี้ได้เพราะทางลงจากสะพานเพื่อเลี้ยวซ้ายแบบหักศอกไปสถานีรถไฟค่อนข้างชัน แนะนำให้วิ่งคู่ขนานช่วงก่อนถึงวัดกาหลง แล้วชิดซ้ายก่อนขึ้นสะพานเพื่อจอดส่งนั่งท่องเที่ยวที่สถานีต่อไป!
สรุปคือสะดวกในการเดินทางและใช้เวลาในการนั่งรถไฟไม่นานเกินไปนั้นเอง!!! สำหรับค่าโดยสารก็คนละหกบาทเท่านั้น คนไทยหรือต่างชาติราคาเดียวกันนะฮะ

บรรยากาศสองข้างทางก็จะเป็นนาเกลือที่รกร้าง แต่อีกบางส่วนยังมีการทำตามปกติ

จากสถานีนาขวางก็จะเป็นสถานีนาโคก – เขตเมือง – ลาดใหญ่ – บางกระบูน – แม่กลอง ทุกสถานีก็จะมีชาวบ้านขึ้นตลอด แต่สถานีนาโคกซึงถัดจากนาขวางจะอยู่ใจกลางชุมชม บรรยากาศึกคัก ช่างแตกต่างกับสถานีนาขวางโดยสิ้นเชิงเพราะเสมือนหนึ่งเป็นสถานีร้าง ฮาๆๆๆ

แต่ถ้าใครจะมาขึนรถไฟที่สถานีนาโคกก็ได้นะ คือพอขับผ่านวัดกาหลงจะเป็นสะพานข้ามรางรถไฟ ขับเลยไปอีกนิดให้เตรียมกลับรถ โดยมีจุดสังเกตุคือวัดนาโคก ผมคาดว่าตัวสถานีน่าจะเข้าทางนี้เพราะมันพ้องกับชื่อวัดพอดี ใครอยากลองเชิญได้เลยนะฮะ

เราใช้เวลาเดินทางด้วยรถไฟจากสถานีนาขวาง – แม่กลอง โดยประมาณ ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น (08.37 – 09.09) แต่ก่อนที่จะเข้าตลาดร่มหุบจนท.ขายตั๋วของการรถไฟก็เดินมาบอกว่า “พี่พาแขกมาถ่ายรูปได้ที่ท้ายขบวนนะครับ” ท้ายขบวนตรงประตูติดป้ายว่า “ห้ามเข้า” จำกันได้ใช่ไหมครับ แต่มันเป็นห้องที่เล็กมา จุได้เต็มที่ก็สี่คนเท่านั้น

ก็เป็นภาพที่สวยอีกภาพหนึ่งจากมุมมองบนรถไฟ เพราะปกติผมจะยืนอยู่ใกล้ๆรางรถไฟเมื่อรถไฟวิ่งผ่านมา ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นที่เดียว ส่วนรูปผมไม่ได้ถ่ายมาเพราะต้องให้พื้นที่แขกในการถ่ายรูป

แขกผมสี่คนรู้สึกสนุกและตื่นเต้นสำหรบการนั่งรถไฟขบวนนี้จริงๆ !!

สถานีแม่กลองเป็นสถานีสุดท้ายที่ผู้โดยสารทุกคนต้องลงจากรถไฟ มันสุดทางจริงๆครับ เพราะถ้าขับเลยจากสถานีนี้ก็คือแม่น้ำแม่กลองนั้นเอง

ผมแนะนำนะครับ หลังจากที่ลงจากรถไฟแล้วให้เดินไปจุดสุดรางรถไฟจะเห็นแม่น้ำแม่กลองที่สวยงาม ใกล้ๆกันนั้นก็เป็นท่าเรือข้ามฟาก จากตรงนี้เราก็สามารถเดินกลับไปที่ตลาดร่มหุบได้อีกครั้งเพื่อเก็บบรรยากาศของตลาดในยามเช้า

สิ่งหนึ่งที่ต้องเตือนสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาชมตลาดแห่งนี้ ส่วนมากจะตื่นเต้นกับรถไฟที่วิ่งผ่ากลางตลาด แต่ปัญหาคือนักท่องเทียวไปยืนบังหน้าร้านทำให้พ่อค้าแม่ค้าเสียผลประโยชน์รวมทั้งมีบางส่วนที่ไม่พอใจ ทางที่ดีถ้านักท่องเที่ยวอยากจะถ่ายรูปควรจะหาจุดที่ไม่ขวางหรือยืนบังหน้าร้านของเขา ทุกฝ่ายจะได้มีความสุข เป็นสยามเมืองยิ้ม “Land of Smile”

เจอกันใหม่ฉบับหน้า..........

ตารางการเดินรถบ้านแหลม - แม่กลอง :: การรถไฟแห่งประเทศไทย
http://www.railway.co.th/home/srt/timetable/BanLaem-MaeKlong.asp

48 วัน...ก่อนวันแต่งงาน (4)



"หาซื้อแหวนหมั้น"

วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ณ ห้อง 712 รพ.สินแพทย์


ไม่ต้องสงสัยนะครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร สุขภาพร่างกายยังแข๊งแรงเหมือนเดิม แต่ที่แวะมาที่โรงพยาบาลเพราะมาเยี่ยมยาย....คุณยายผมอายุ 94 ปีแล้ว เข้ามานอนโรงพยาบาลหลายวันแล้ว ยังไม่ทราบเหมือนกันว่าเมื่อไหร่หมอจะอนุญาตให้กลับบ้านได้ เผอิญว่าวันนี้แวะมาเอาของที่คอนโดนซึงอยู่ใกล้โรงพยาบาล ก่อนกลับก็เดินแวะมาเยี่ยมยายสักเล็กน้อย

กลับมาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่า เรื่องการเตรียมการก่อนงานแต่งงานเขียนไปทั้งหมดก็สามตอนแล้ว ยังไม่ทราบว่าอีกกี่ตอนจบแต่ก็จะเลือกหาประเด็นหรือหัวข้อที่น่าสนใจ เก็บเป็นบันทึกเอาไว้

การเขียนบันทึกแบบนี้ผมก็ทำมาตลอดแล้วแต่วัตถุดิบที่มีและเป็นเรื่องที่เราสนใจและอยากจะเก็บมันเอาไว้ เคยทำอย่างนี้เหมือนกันตอนที่บวชเป็นพระอยู่หนึ่งพรรษา คิดเหมือนกันนะว่าจะเอาสิ่งที่เขียนมารวมรวบเป็นเล่มเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก เอาไว้อ่านย้อนหลังก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ

การเขียนบล๊อคของผมไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อจะเป็นนักเขียนหรือเป็นอะไรหรอก เพียงแค่อยากจดบันทึกเอาไว้ ใครสนใจก็เข้ามาอ่านถือว่าเป็นการแบ่งปันประสบการณ์

ยังไม่ทันไรเลยนี้เขียนพร่ำเพ้ออะไรไปละเนี่ย มาเข้าเรื่องแต่งงานกันดีกว่า!!!

จากสามตอนที่เขียนไปแล้ว ผมมานั่งอ่านแล้วมองย้อนอีกทีว่าสิ่งที่เราต้องการจะบันทึกมันคงไม่ใช่ลำดับเหตุการณ์ของงานตั้งแต่เริ่มจนถึงวันแต่ง แต่น่าจะเป็นในมุมมองอื่นดีกว่า ฉะนั้นวันนี้เราจะมาเริ่มต้นกันด้วยเรื่องของการหาซื้อ “แหวนหมั้น”

การหาซื้อแหวนหมั้นก็เป็นสิ่งที่ยากเหมือนกันเ ทั้งเรืองของขนาดแหวน รูปแบบ ราคาและที่สำคัญที่สุดคือจะไปซื้อที่ไหน ร้านไหนที่เราไว้ใจได้ สถานที่แรกที่นึกถึงเลยคือ Gem Gallery ทำไมถึงเป็นร้านนี้? เพราะร้านนี้เป็นร้านที่เกี่ยวข้องกับงานที่ทำ เคยพาแขกต่างชาติหลายคนไปอุดหนุนที่ร้านนี้มาก่อน รู้จักกับเซลล์ คิดว่าน่าจะได้ของดีมีคุณภาพ!
ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรไปหาเซลล์ที่สนิทกัน หลังจากที่สนทนาทางโทรศัพท์เป็นที่เรียบร้อยได้คำตอบว่าคงต้องไปหาซื้อที่อื่น เพราะเซลล์แนะนำว่าเพชราที่ร้านเป็นเพชรที่คัดมาแล้ว รับประกันตลอดชีพ ถึงแม้ว่าจะลดราคาแล้วแต่ราคาก็ยังสูงจนต้องแหงนคอตั้ง น้องเซลล์เขาก็ไม่ได้บอกว่าไม่ต้องมานะพี่ ในทางตรงข้ามบอกให้ผมลองเข้ามาดูก่อนก็ได้ ถ้าไม่ถูกใจในเรื่องราคาค่อยไปหาซื้อที่อื่น นอกจากนี้น้องเซลล์ยังแนะนำผมให้ไปดูร้านแถววังบูรพาแหล่งร้านเพชรของเมืองกรุง!

สรุปที่ร้าน Gem Gallery เราคงไม่ไป....แล้วจะไปหาซื้อที่ไหนต่อ?

แม่ผมโทรมาบอกว่าที่แฟชั่น ไอส์แลนด์มีร้านเพชร ตอนนี้กำลังลดราคา ถ้าซื้อจากบัตรเครดิตที่ร่วมโปรโมชั่นก็จะได้ราคาพิเศษจากที่ลดลงไปอีก เย็นวันเสาร์ที่ 2 ก.ค. หลังจากที่เรากลับจากซื้อของชำร่ายและของไหว้จากสวนจตุจักร เราทั้งคู่ก็เดินทางไปร้านเพชรที่แม่แนะนำ
เราเดินกันสักพักก็หาร้านเพชรที่แม่แนะนำเจอ ยืนดูแบบจากโบวชัวร์ที่เขาแนะนำแต่แหวนวงที่เราต้องการจะลอง ไม่มี...หมายถึงหมดครับ ไม่มีของ ถ้าจะเอาต้องรอและจองล่วงหน้า สรุปว่าแห้วไปอีกร้าน!!!

ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้แหวนแต่ตอนนี้เรามีแบบที่ต้องการแล้ว แบบแหวนก็ไม่ได้คิดเองหรอกก็เอามาจากร้านเพชรที่แฟชั่น ไอส์แลนด์นั้นแหละ สอยมาจากโบรชัวร์ที่เขามี อิอิ หมดจากตรงนี้เราก็ยังไม่ทราบว่าจะไปหาซื้อที่ไหนต่อ..บรรยากาศเริ่มเศร้า!

ค้วยความโชคดีป้อมีเพื่อนที่ทำงานเกี่ยวกับวงการเพชรพลอย ผมก็ให้ป้อลองโทรไปปรึกษาเพื่อน หลังจากที่คุยกับเพื่อนเราทั้งสองเริ่มมีความหวังเพราะเพื่อนป้อสามารถที่จะช่วยได้ มันยิ่งง่ายเลยเพราะเราทั้งสองก็มีแบบอยู่แล้ว เราทั้งคู่สบายใจเรื่องแหวนเพราะฝากให้เพื่อนป้อรับช่วงต่อ
สองถึงสามวันถัดมา เราทั้งคู่ได้รับคำตอบ...ช่วงนี้เพือนป้อค่อนข้างยุ่งทำให้ไม่สามารถจัดการเรื่องแหวนได้ ก็เป็นอันว่าแห้วไปอีกหนึ่งที่!!!

เอาไงต่อดีละเนี่ย....ชื่อเพื่อนอีกคนแว่บเข้ามาในหัว ขออนุญาตเอ่ยนาม เขาคือ “คุณอานนท์หรือก้อง” ผมไม่รอช้ารีบโทรศัพท์ไปหาก้องทันทีเพื่อขอคำแนะนำเรื่องซื้อแหวนหมั้น คำตอบที่ได้มาภายหลังการสนทนาทางโทรศัพท์ ก้องมีร้านแนะนำสองร้าน ร้านหนึ่งอยู่ที่สวนจตุจักรอีกร้านอยู่ที่มาบุญครอง เราเลือกร้านที่มาบุญครองเพราะสะดวกในการเดินทาง

เย็นวันหนึ่งหลังเลิกงาน เราทั้งคู่นัดเจอกันที่มาบุญครองเพื่อเดินทางไปร้านที่ก้องแนะนำมา ใช้เวลาไม่นานในการเดินหา เราทั้งคู่ตรงดิ่งเข้าไปที่ร้านทันที มองผ่านตู้กระจกเพื่อมองหาแหวนที่คิดว่าใช่
ร้านนี้อันที่จริงเป็นร้านทองและก็มีแหวนเพชรขายเช่นกัน
เมื่อเราเจอแบบที่คิดว่าใช่ ก็บอกทางพี่เจ้าของร้านขอลอง แต่ลองแล้วยังไม่ถูกใจ
ป้อพูดคุยกับพี่เจ้าของร้านถึงลักษณะที่เราต้องการ ไวปานลมพัด ใช้เวลาไม่นานพี่เจ้าของร้านก็นำแหวนที่คิดว่าใช่มาให้เราลอง อะไรมันจะโชคดีขนาดนั้นเพราะแหวนวงที่พี่เจ้าของร้านจำมาให้ลองมันถุกใจ ตรงใจจริงๆ ในที่สุดเราก็ได้แหวนหมั้น
ต้องขอบคุณก้องสำหรับคำแนะนำ ขอบคุณพี่เจ้าของร้านที่ดูแลและช่วยเราเลือกแหวนเป็นอย่างดี!!

การหาซื้อแหวนเพชรมีความสำคัญมากในเรื่องของความน่าเชื่อถือและความไว้ใจ...เราไ่ม่อยากเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปในร้านที่เราไม่รู้จัก เพราะฉะนั้นการได้รับคำแนะนำจากคนที่เราไว้ใจจึงมีความสำคัญเป็นที่สุด

จนถึงตอนนี้หลังจากที่ได้แหวนหมั้นแล้ว ถือว่าเราได้ของที่ต้องซื้อเพื่อเตรียมสำหร้บวันงานครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว ของชำร่วย การ์ดเชิญ ของไหว้แขกผู้ใหญ่ และแหวนหมั้น

ส่วนที่เหลือยังมีอะไรอีกบ้าง ฉบับหน้าเจอกันใหม่

48 วัน...ก่อนวันแต่งงาน (3)



วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ณ โรงพยาบาลสินแพทย์


เช้านี้ตื่นนอนตามเสียงแม่ปลุก ไม่ได้ตื่นสายอะไรหรอกแต่แม่ไม่สบายมาสองสามวันแลัว เช้านี้แม่รู้สึกว่าเหนื่อยก็เลยปลุกเพื่อให้พาไปหาหมอที่โรงพยาบาล ก็เลยเป็นเหตุให้ต้องมานั่งเขียนที่นี้ในระหว่างที่รอผลตรวจ

จากสองฉบับที่เขียนไปก่อนหน้านี้หวังว่าคงจะสนุกในการอ่านและมองเห็นภาพของการเตรียมการเบื้องต้น แต่มันยังไม่จบเพราะยังมีรายละเอียดหรือประเด็นหลักๆที่อยากจะแบ่งปันประสบการณ์ให้เพื่อนๆพี่ๆได้อ่านกัน

แน่นอนที่สุดคือผมคงไม่เสามารถจะเขียนเล่ารายละเอียดทั้งหมดได้ ขอแค่หยิบบางมุมที่คิดว่าน่าสนใจมาแบ่งปันให้อ่านกันเพลินๆ
ระยะเวลาสี่วันก่อนที่จะถึงวันเสาร์ที่ 2 ก.ค. ช่วงระหว่างสัปดาห์ผมก็มีเวลาว่างในการอ่านข้อมูลช่วงพิธีการที่ป้อเตรียมไว้ให้ ผมจึงศึกษาจะได้เห็นภาพรวมทั้งหมด ซึ่งก็มีประโยชน์มากพอสมควรเพราะสามารถคิดต่อได้ว่าเราควรจะต้องเตรียมอะไรบ้าง

ช่วงนั้นผมอยู่บ้าน ยังไม่มีงานเหมายถึงรอเวลาทำงานนะครับ มีงานทำนะฮะแต่ยังไม่ถึงเวลา ...

ผมใช้เวลาว่างสี่วันในการเตรียมรายชื่อแขกทั้งหมดที่จะต้องเชิญอันนี้หมายถึงญาติพี่น้อง เพื่อนๆพี่ๆและเพื่อนๆรวมทั้งเพื่อนๆของแม่ โดยผมแบ่งแขกทั้งหมดออกเป็นกลุ่มๆ อาทิญาติพี่น้อง เพื่อนรามคำแหง เพื่อนบางกะปิและเพื่อนร่วมงาม ส่วนทางป้อก็จัดเตรียมในรูปแบบเดียวกัน เมื่อได้รายชื่อก็เริ่มทยอยโทรไปแจ้งเรื่องงานแต่งงานเป็นเบื้องต้นพร้อมทั้งขอชื่อและนามสกุลรวมทั้งที่อยู่เพื่อส่งการ์ดเชิญทางไปรษณีย์ต่อไป แต่บางส่วนก็มารับบัตรที่หน้างาน

อีกเรื่องที่ต้องทำคือการทำ Presentation เราทั้งสองคนต้องรวบรวมรูปที่มี ทั้งรูปครอบครัว รูปวัยเด็ก วัยเรียน วันทำงาน สารพัดรูปคือมีเท่าไหร่เอามาให้หมด ได้รูปมาแล้วก็นำมาลงโปรแกรมพร้อมเลือกเพลงเพื่อทำเป็นMVเปิดในงานต่อไป

อีกอย่างที่ต้องทำไปพร้อมกันคือเรื่องของScriptพิธีการช่วงงานช่วงเช้าและช่วงงานเลี้ยงคือต้องวางรูปแบบงานเลี้ยงทั้งหมด ตั้งแต่งานเช้าถึงงานเลี้ยงจนกระทั่งเสร็จงานคือส่งแขกกลับ ต้องทำคิวพิธีกร ทำคิวเพลง คิวแสง สีและเสียง

เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว..แป๊บเดียววันเสาร์แล้ว

เช้าวันเสาร์ที่ 2 ก.ค. เราทั้งคู่เดินทางไปสวนจตุจักรเพื่อไปหาซื้อของไหว้ญาติผู้ใหญ่ในวันแต่งงานและของชำร่วย เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้ป้อเพราะเขาเคยมาเดินกับเพือนที่นี้มาก่อน ทำให้ทราบว่าที่สวนจตุจักรมีทุกสิ่งให้เลือกสรรจริงๆ คือถ้าใครวางแผนจะแต่งงานสวนจตุจักรเป็นที่แรกๆที่ควรจะมา!!!

ที่สวนจตุจักรมีร้านค้าประเภทของชำร่วยและการ์ดแต่งงานเยอะพอสมควร รวมทั้งร้านเช่าชุดวิหวาห์ ต้องใช้เวลาและความอดทนในการเดินเล็กน้อย เพราะแต่ละร้านไม่ได้อยุ่ติดกัน อีกทั้งจะแตกต่างในเรื่องของราคา รูปแบบสินค้าที่มีและการต้อนรับของเจ้าของร้าน บางร้านเจ้าของออกแนวหยิ่งๆไม่ค่อยสนใจลูกค้า คือขายดีแล้วหยิ่งอะไรประมาณนี้แหละ เราก็เจอร้านประเภทนี้เหมือนกัน...ของในร้านน่าสนใจแต่เจ้าของร้านทำตัวไม่น่าอุดหนุน ฮาๆๆ

สรุปคือที่สวนจตุจักรเราได้ของชำร่วยในแบบที่ต้องการนั้นคือแก้วกาแฟ และที่ดีสุดๆแลยคือเราสามารถไปรับของได้ที่โรงงานซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเราซึงร้านเขาอยู่แถวๆถนนเสรีไทย...ใกล้แค่เอื้อม

ขอแนะนำอีกที่ถ้าไม่สามารถมาที่สวนจตุจักรได้เพราะมีข้อจำกัดเปิดเพียงเสาร์และอาทิตย์ นั้นคือพาหุรัด!!!

จนถึงวันเสาร์นี้ เราทั้งสองเตรียมสถานที่และของได้ไปพอสมควร ถือว่าคืบหน้าไปมากกว่าห้าสิบเปอร์เซ้นต์ แต่ยังเหลืออีกหลายอย่างที่ต้องทำ มันเป็นงานที่ไม่จบไม่สิ้นจริงๆ เสร็จเรื่องนี้ก็มีเรื่องอื่นที่ต้องไปจัดการต่อ

ฉบับหน้าเราจะมาคุยกันเรื่องแหวนหมั้น...อันนี้ก็สำคัญและหายากจริงๆ

48 วัน...ก่อนวันแต่งงาน(2)



วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ.254
ณ บ้านพักตากอากาศฝั่งตะวันออกของเมืองกรุง


สืบเนืองจากฉบับที่แล้วขออธิบายเพิ่มเติมสักเล็กน้อย เหตุที่ไปเขียนที่โรงพยาบาลเพราะไปเยี่ยมยายและมีช่วงเวลาว่างเนื่องจากน้าเล็กกลับบ้านไปเอาเสื้อผ้าก็เลยนั่งเล่นเป็นเพื่อนยายอยู่ในห้องพักคนป่วย....

หลังจากที่พูดคุยกันเรื่องแต่งงานในตอนเที่ยงของวันเสาร์ที่ 25 มิถุนายนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เย็นวันนั้นผมกับป้อก็มานั่งที่ร้านกาแฟใกล้กับ Max Value นวมินทร์ เริ่มทำการบันทึกภาพผ่านทางยูทูปเพื่อประกาศเรื่องแต่งงานของเราทั้งสองคนให้เพื่อนๆทราบ รวมทั้งเปิด Fan Pageใน Facebook ชื่อ Khwan and Pat ..Coffee White Choc เพื่อการแต่งงานครั้งนี้โดยเฉพาะและมีจุดประสงค์เพื่อรายงานความคืบหน้าการแต่งงานและติดต่อกับเพื่อนๆผ่านทางช่องทางนี้

บ่ายวันอาทิตย์ถัดมาอีกหนึ่งวันหลังจากตีแบดในตอนบ่ายกับญาติเป็นที่เรียบร้อย ตอนประมาณสักสี่โมงเย็นผมกับป้อก็แวะมาที่ร้านวิวาห์เพื่อติดต่อเรื่องเช่าชุด ของชำร่วยและการ์ดแต่งงาน หลังจากลองชุดทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ดูแบบการ์ดแต่งงานพร้อมทั้งของชำร่วยแล้วปรากฏว่าราคาค่อนข้างสูง ส่วนเรื่องชุดสวยถูกใจแต่ราคาเช่าก็แพงเช่นกัน เราจึงแค่ขอนามบัตรและบอกว่าวันพรุ่งนี้ช่วงบ่ายเราจะแจ้งอีกทีว่าตกลงหรือไม่ เราก็บอกเขาไปตามตรงนะว่านี้เป็นร้านแรกที่มาดูขอไปเปรียบเทียบราคาก่อน

เช้าวันรุ่งขึ้น คือวันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน ช่วงเช้าเรามีนัดเพื่อพูดคุยรายละเอียดและวางเงินมัดจำบางส่วนกับทางโรงแรมเมอร์เคียว ช่วงบ่ายขับรถกลับมาแถวบ้านนวมินทร์เพื่อติดต่อร้านวิวาห์อีกร้านซึ่งแถวๆบ้านเช่นกัน

เราขับรถเข้าไปจอดหน้าร้าน เปิดประตู ทักทายสวัสดีพี่เจ้าของร้าน รู้ชื่อต่อมาคือ “พี่วิ” หลังจากที่พูดคุยให้พี่วิฟังในสิ่งที่เราต้องการ ผมก็ทราบเพิ่มเติมว่าพี่เขาเป็นคนสุราษฎร์ จากภาษากลางก็เปลี่ยนเป็นภาษาใต้ทันทีส่งผลให้การพูดคุยมีบรรยากาศที่เป็นมิตรมากขึ้น ในทีสุดเราทั้งคู่พอใจในสิ่งที่พี่เขาเสนอมารวมทั้งพอใจในบริการที่พี่เขามีให้ สรุปคือถูกคอกันนั้นเอง

สิ่งที่เราได้ตกลงกับทางร้านคือ Package Wedding ได้ถ่ายรูป Pre wedding ในสตูดิโอทั้งหมดสี่ชุด ได้กรอบรูป (ขนาดเท่าไหร่จำไม่ได้แต่เป็นอันเดียวกันกับที่ใช้หน้างานวันแต่ง) พร้อมกรอบเล็กที่ใส่รูปได้อีกห้าใบ ได้ชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวรวมสี่ชุดคืองานเช้าและงานเลี้ยง นอกจากนี้เรายังมาเจอการ์ดแต่งงานในแบบที่ถูกใจคือเป็นแบบไปรษณียบัตรรูปเจ้าบ่าวและเจ้าสาว พร้อมรายละเอียดของงาน สรุปเราเลือกร้านนี้และนัดหมายวันเวลาเพื่อทำการถ่ายรูปในสตูดิโอ แน่นอนเราไม่ลืมที่จะโทรกลับไปร้านแรกเพื่อขอโทษและเสียใจที่ไม่ได้ใช้บริการ

เสร็จจากร้านวิวาห์เราทั้งคู่รีบเดินทางต่อไปยังวัดสุวรรรประสิทธิ์ นวมินทร์ 42 เพื่อติดต่อจองคิวและนิมนต์พระ 9 รูปสำหรับงานในวันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม แต่เราไปถึงวัดประมาณห้าโมงเย็น เราช้าเล็กน้อย...ห้องคลังที่จัดการเรืองติดต่อนิมนต์พระปิดไปแล้วแต่โชคดีที่เจอหลวงพี่ท่านหนึ่ง ท่านให้ผมเดินตามไปที่กุฏิเพื่อจะให้เบอร์โทรศัพท์สำหรับโทรมาติดต่อทางวัดในวันรุ่งขึ้น หลวงพี่ท่านก็ใจดีจดรายละเอียดเรื่องวันเวลา สถานที่และจำนวนพระที่จะนิมนต์ผมเพียงแค่โทรมาแจ้งเท่านั้น

เพียงวันจันทร์วันเดียวแต่สามารถติดต่อและมีความคืบหน้าในงานแต่งงานมากพอสมควรทั้งสถานที่ ชุดวิวาห์ การ์ดแต่งงาน และนิมนต์พระ

อาทิตย์หน้าวันเสาร์ที่ 2 กค. เราทั้งสองมีคิวต้องไปสวนจตุจักรกันต่อเพื่อเสาะหาของเพิ่มเติม!!!
ถามว่าเหนื่อยไหม...ตอบว่าเหนื่อยฮะ!!!

48 วัน...ก่อนวันแต่งงาน(1)


วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ณ โรงพยาบาบาลสินแพทย์ ห้อง 712


เนื่องด้วยงานแต่งงานเมื่อวันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ที่ผ่านมา มีเรื่องราว เหตุการณ์และหลายสิ่งที่อยากจะถ่ายทอดเล่าสู่กันฟังพร้อมทั้งแบ่งปันกับเพื่อนๆ

งานแต่งงานที่จัดขึ้นที่โรงแรมแกรนด์เมอร์เคียว รัชดาเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาสามารถแบ่งงานออกได้เป็นสามช่วงด้วยกันคือก่อนงาน ระหว่างงานและหลังงาน

จุดเริ่มต้นของงานแต่งงานนี้เริ่มต้นจากแม่ของผมเองที่เอ่ยปากเรื่องแต่งงาน “แต่งงานสะทีเถอะ” หลังจากนั้นน้าผม “น้าตุ๋ย” ก็เป็นฝ่ายจัดหาวันเวาลาที่เหมาะสม คำตอบที่ได้มาคือ “13 สิงหาคม”

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากต่อมาในวันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน 2554 ทั้งสองครอบครัวก็มาพบยังจุดนัดหมายตอนเที่ยง ณ ร้านอาหารครัวอาจารย์มัลลีกา ถนนเกษตร-นวมินทร์ ฝ่ายขอผมก็มี “แม่ น้าดำหรือคุณอัชฌา(ประธานในพิธีแต่งงาน) น้าปุกหรือคุณจีระวรรณ น้าเล็กคุณจตุพรและครอบครัวของพี่ชาย ส่วนฝ่ายป้อก็มีเพียงพ่อและแม่”

นัดเจอกันตอนเที่ยง ทุกฝ่ายมาถึงที่หมายโดยพร้อมเพรียงกัน เราเปิดห้องพิเศษเพื่อทำการพูดคุยเป็นการภายในเกี่ยวกับการสู่ขอ หมั้น แต่งงานและสินสอด” วันนั้นอาหารก็สั่งกันไปหลายอย่าง กินกันเอร็ดอร่อย การพูดคุยราบลื่น
เป็นอันได้ข้อสรุปว่า “วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ.2554 คือวันแต่งงาน”

เราทั้งคู่เพิ่งมาทราบภายหลังว่า “วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม” ที่น้าตุ๋ยจัดหามาให้เป็นวันที่ดีที่สุดวันหนึ่งของปี54 แต่น้าตุ๋ยหมายถึงให้เป็นวันสู่ขอเท่านั้น ฮาๆๆ สุดท้ายกลายเป็นวันแต่งงานสะงั้น

ถอยหลังจากวันที่ 25 มิถุนายน แม่ของผมคุยเรื่องแต่งงานสักประมาณหนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้านั้น แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจริงๆ เหมือนฟ้าผ่า...เปรี้ยงๆๆ

เราสองคนต้องเริ่มเตรียมงานทันทีเพราะเหลือเวลาเพียง 48 วันเท่านั้นคือเริ่มนับจากวันที่ 26 มิย.- 12 สค.
สิ่งที่ใหญ่ที่สุดของการจัดการคือสถานที่ เราจะเลือกจัดงานกันที่ไหนดีเพราะตัวเลือกที่มีประกอบด้วยโรงแรมเอเชีย โรงแรมเอสซีปาร์ค โรงแรมมารวย(แถวเกษตร) โรงแรมแกรนด์เมอร์เคียว รัชดาและบ้านก้ามปู(แถวเกษตรนวมินทร์) สุดท้ายเราทั้งสองตัดสินใจเลือกโรงแรมแกรนด์เมอร์เคียว

สาเเหตุที่เราเลือกโรงแรมแกรนด์เมอร์เคียวเพราะสถานที่ตั้งสะดวกในการเดินทางของเแขกทุกท่านเนื่องจากอยู่กลางเมืองและอยู่ในเส้นทางรถใต้ดิน

สำหรับเหตุที่จัดงานเลี้ยงตอนกลางวันเพราะสะดวกสำหรับแขกญาติผู้ใหญ่ทีจะไม่ต้องเดินทางกลับตอนค่ำๆ แขกผผู้ใหญ่บางท่านเดินทางมาจากต่างจังหวัดจะได้สะดวกในกรณีที่ต้องนั่งเครื่องบินกลับตอนเย็น แต่ประเด็นสำคัญคือเราจัดพิธีสงฆ์ พิธีหมั้นและพิธีแต่งงานที่โรงแรมช่วงเช้า การจัดเลี้ยงต่อเนื่องในตอนกลางวันจะสะดวกกับทุกฝ่าย

อันที่จริงเรื่องสถานที่ ข้อมูลและการติดต่อต่างๆป้อเป็นคนจัดการ ส่วนผมแค่รับทราบเป็นข้อมูลและแสดงความคิดเห็น ส่วนการตัดสินใจขั้นสุดท้ายก็เห็นตรงกันว่าโรงแรมเมอร์เคียวดีที่สุด

เรื่องใหญ่คือสถานที่จัดการไปเรียบร้อย แต่ยังเหลืออีกหลายเรื่องที่ต้องเตรียมการ...เยอะมาก!!!

ทำไมจะไม่เยอะเพราะมีทั้งเรื่องชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว เรื่องแต่งหน้าเจ้าบ่าวเจ้าสาว แหวนหมั้น การ์ดแต่งงาน ของชำร่วย ของไหว้แขกผู้ใหญ่ จำนวนและรายชื่อแขกที่จะต้องเชิญพร้อมที่อยู่ (อันนี้ยังไม่รวมการพิมพ์หน้าซอง) นิมนต์พระ(รวมทั้งBrief พระอาจารย์)และยืมของจากวัด Scriptรายละเอียดพิธีการในช่วงเช้าพร้อมผู้ดำเนินรายการ Scriptรายละเอียดพิธีการช่วงงานเลี้ยง เตรียมทีมงานงานช่วงงานเช้า และงานเที่ยง พิธีกรทั้งสองช่วง ฝ่ายประสานงานช่วงงานเลี้ยง รวมทั้งงานเอกสารคือค่าใช้จ่ายทั้งหมดในทุกรายกายที่เกี่ยวข้อง เท่าที่นึกได้ก็มีแค่นี้แหละ สรุปคือมันเยอะมากกกกกก


แค่เห็นสิ่งที่ต้องทำแล้ว...มันเยอะมาก!!!!!

เชียงใหม่..วัวลาย



ทริปนี้เริ่มต้นหลังจากส่งแขกเข้า”ริมปิง วิลเลจ”เป็นที่เรียบร้อย ก็ให้คนขับรถ”คิด” หนุ่มใต้มาดเท่ห์ขับรถมาส่งที่รร.ที่จองไว้แถววัวลาย
ขับรถจากริมปิง วิลเลจข้ามสะพานนวรัตน์ขับตรงมาประตูท่าแพแล้วเลี้ยวซ้าย ขับตามคูเมืองมาเรื่อยๆจนถึงประตูเชียงใหม่ก็เลี้ยวซ้ายอีกที หลังจากนั้นให้ขับไปทางแยกซ้าย

ตรงมาอีกหน่อยจะเจอมาทางแยกรูปตัววายให้ไปทางด้านขวา ขับมาอีกหน่อยเจอซอยนันทาราม๑ เลียวซ้าย ขับมาอีกนิดเดียวก็จะเจอ”ธาตุคำ วิลเลจ”ทางขวามือ โรงแรมนี้อันที่จริงต้องเรียกว่า”Guest House”ไม่มีที่จอดรถ

พอเลี้ยวซ้ายจากคูเมืองประตูเชียงใหม่ถ้าขับตามทางก็จะเข้าถนนวัวลาย”ถนนสายเครื่องเงิน”เมืองเชียงใหม่ แต่ถ้าเลียวซ้ายแล้วขับตรงมาอีกนิดจะเจอแยกรูปตัววาย ถ้าขับไปทางซ้ายจะเป็นถนนสุริยวงศ์ ไปทางขวาเป็นถนนนันทาราม

ถ้าขับไปทางถนนสุริยวงศ์ก็จะเจอโรงแรมเชียงใหม่เกตุ ขับไปอีกนิดก็จะเจอซอยนันทารามซอย๑ซ้ายมือสามารถเลี้ยวซ้ายได้ก็จะมาเจอ”ธาตุคำวิลเลจ” และถ้าขับไปเรื่อยๆก็จะเจอถนนนันทาราม จากตรงนี้ถ้าเลี้ยวขวาก็ออกคูเมืองตรงประตูเชียงใหม่ ถ้าเลี้ยวขวาสามารถตัดออกไปลำพูน ลำปางได้

ที่พักมีทั้งหมดสามชั้น มีสามราคาคือ ๙๐๐ ๑,๒๐๐ และ ๑,๕๐๐ บาท ห้องแอร์ มีทีวี ตู้เย็น ห้องน้ำ WiFi รวมอาหารเช้าด้วย

จากที่พักสามารถเดินมาถึงคูเมืองฝั่งตรงข้ามประตูเชียงใหม่ได้ ระยะทางไม่ไกลประมาณ ๔๐๐ เมตร ทางด้านซ้ายมือมี7/11 ฝั่งตรงข้ามก็เป็นตลาด อาหารการกินอุดมสมบูรณ์

สาเหตุที่เลือกพักแถวนี้เพราะต้องการเที่ยวถนนคนเดินวัวลายและประตูท่าแพ จากที่พักไปถนนวัวลายเดินสบายไม่ไกล ส่วนทางจะเดินจากต้นถนนวัวลายไปจนสุดทางก็ประมาณหนึ่งกิโลเมตรเท่านั้น ถ้าเลี้ยวซ้ายก็เข้าถนนนันทารามซึ่งไม่มีอะไรแต่ถ้าต้องการเดินเส้นนี้ไปตลอดก็จะไปโผล่ต้นถนนวัวลายได้เช่นกัน อีกอย่างระหว่างถนนวัวลายหรือถนนนันทารามมีซอยเชื่อมต่อกันสามารถเดินทะลุกันได้

บรรยากาศที่เดินวันนี้อากาศไม่อำนวยเพราะเห็นกลุ่มฝนมืดครึ้มมาแต่ไกลทำให้ต้องเร่งฝีเท้าในการเดิน เร่งแล้วก็ได้ของที่ระลึกมาคือที่คั่นหนึ่งสือแบบHand Madeมาสองอัน ราคาอันละ ๓๕

ได้ของแล้วรีบเดินกลับพร้อมกับซื้อวุ้นเส้นผัดไทราคา ๒๕ บาทมาหนึ่งกล่อง กลับถึงห้องได้แป็บเดียว...กินผัดไทไม่ทันหมด ฝนก็เทลงมา!

พรุ่งนี้มาเจอกันใหม่

ปฏิรพ ทิพรัตน์
ห้อง๒๐๓ ธาตุคำ วิลเลจ นันทารามซอย๑ เชียงใหม่
๑๙.๒๐

เชียงใหม่ในรอบสามเดือน



นานๆขึ้นมาสักทีขอสรุปสิ่งต่างๆที่เห็นสักหน่อยละกัน
อย่างแรกคืออุทยานสุโขทัย มีการปรับทางเข้าและออกคือเข้าได้สองทาง จากด้านหน้าและด้านข้างบริเวณที่มีการขายของที่ระลึก ส่วนทางออกมีทางเดียวคือบริเวณด้านข้างนี้คือในกรณีที่ขับรถเข้ามา ส่วนรถบัสจอดรอด้านนอกเหมือนเดิม
สำหรบจักรยานเมื่อก่อนสามารถขี่เข้าไปได้เลยไม่เก็บค่าธรรมเนียม แต่รอบนี้เก็บคันละสิบบาท

ส่วนที่ศรัสัชนาลัย ทุกอย่างเหมือนเดิมแต่ที่เปลี่ยนไปคือคงจะมีLight Up เร็วๆนี้เพราะกำลังมีการฝังSpot light ตามจุดต่างๆของวัดช้างล้อม วัดเจดีย์เจ็ดแถวและวัดนางพญา

สำหรับอาหารเที่ยงช่วงหลังจะกินร้านประเภทอร่อยและดี ไม่เน้นตามโรงแรม อาทิที่อยุธยากินครัวผักหวาน ที่พิษณุโลกกินก๋วยเตี้ยวห้อยหา ที่ลำปางกินข้าวซอยหม้อดิน (ถ้ามาจากเกาะคาร้านจะอยู่ทางซ้ายมือก่อนถึงวัดพระธาตุลำปางหลวง) ข้าวซอยร้านนี้มีทั้งไก่ หมูและเนื้อ รสชาดเข้มข้น อร่อยดีจริงๆ

อีกร้านที่แนะนำคือที่สุโขทัย เมืองเก่า อยู่ติดกับ7/11 ชื่อสุรัตน์โภชนา(ถ้าจำไม่ผิด) อาหารรสชาดดี ราคาไม่แพง ตามข้อมูลเป็นร้านที่เก่าแก่ที่สุดในย่านนั้น เมนูเด็ดคือกบทอดกะเทียม ยิ่งหนังกบด้วยแล้วอร่อยสุดยอดจริงๆ

ส่วนเรื่องที่พักทั้ง Jungle Raft /Felix/Legendha ทุกอย่างก็ตามมาตรฐานโรงแรม แต่ที่Legendha สุโขทัยระบบWiFiพัฒนาดีขึ้นสามารถใช้ได้ได้ห้อง(เมื่อก่อนเฉพาะในล๊อบบี้เท่านั้น) แม้ความแรงจะสองเม็ดและช้า แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลย

คนขับรถรอบนี้เป็นคนใต้เหมือนกันชื่อว่า"คิด" ขับรถดี ใช้ได้ ไม่มีอะไรจะคอมเม้นทื โดยรวมๆถือว่าสอบผ่าน

สภาพอากาศจากกรุงเทพ เมืองกาญจน์ อยุธยา ลพบุรี พิษณุโลก สุโขทัย ลำปางและเชียงใหม่ ทริปนี้ต้องยกให้ลำปางร้อนที่สุด ณ ตอนเที่ยง อุณหภูมิวัดได้จากนาฬิกาประมาณ 36 องศา

รอบนี้ในการทำงานรู้สึกว่าจะกินก๋วยเตี้ยวทุกวันแต่ก็ไม่เบื่อนะ เพราะอร่อยทุกร้านที่กิน แขกก็น่ารักใจดีเลี้ยงอาหารเที่ยงทุกมื้อ เลี้ยงกาแฟทุกวัน เพราะว่าแขกเป็นคนจีน(ผู้ชายเป็นจีนแผ่นดินใหญ่มีร้านอาหารจีนที่แคนเบอร์ร่า ผู้หญิงเป็นจีนฮ่องกงมีอาชีพเป็นพยาบาล) ก็ขอบคุณผ่านตัวหนังสืออีกรอบสำหรับน้ำใจและมิตรภาพที่ดีที่มีให้ข้าพเจ้าและคนขับรถ

นอกจากนี้ยังไได้เรียนรู้ภาษาจีนเพิ่มเติมอีกด้วย อิอิ

มีความสุขทุกท่านของรับ
ปฎิรพ ทิพรัตน์
เขียน ณ ห้อง 203 ธาตุคำ วิลเลจ เชียงใหม่
วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 16.00 น.

8*3= 23 ?

เอี๋ยนหุย ใฝ่ศึกษามีคุณธรรมงดงาม เป็นศิษย์รักของขอจื้อ

วันหนึ่งเอี๋ยนหุยออกไปทำธุระที่ตลาด เห็นผู้คนจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ที่หน้าร้านขายผ้า จึงเข้าไปสอบถามดุ จึงรู้ว่าเกิดการพิพาทระหว่งคนขายผ้ากับลูกค้า ได้ยินลูกค้าตะโกนเสียงดังโหวกเหวกว่า "3*8 ได้ 23 ทำไมท่านจึุงให้ข้าจ่าย 24 เหรียญละ!"

เอี๋ยนหุย จึงเดินเข้าไปที่ร้าน หลังจากทำความเคารพแล้วก็กล่าวว่า "พี่ชาย 3*8 ได้24 จะเป็ฯ 23 ได้ยังไง? พี่ชายคิดผิดแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก"

คนซื้อผ้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้หน้าเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า "ใครให้เจ้าเข้ามายุ่ง! เจ้าอายุเท่าไหร่กัน! จะตัดสินก็มีเพียงท่านขงจื้อเท่านัน ผิดหรือถูกมีท่านผู้เดียวที่ข้าจะยอมรับ ไป ไปหาท่านขงจื้อกัน"

เอี๋ยหุย กล่าวว่า "ก็ดี หากท่านขงจื้อบอกว่าท่านผิด ท่านจะทำอย่างไร?"
คนซื้อผ้ากล่าวว่า "หากท่านวิจนิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมให้หัวหลุดจากบ่า! แล้วหากเจ้าผิดล่ะ?"
เอี๋ยหุย กล่าวว่า "หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมถูกปลดหมวก(ตำแหน่ง)" ทั้งสองจึงเกิดการเดิมพันขึ้น

เมื่อขงจื้อสอบถามจนเกิดความกระจ่าง ก็ยิ้มให้กับเอี๋ยนหุย และกล่าวว่า "3*8 ได้ 23 ถูกต้องแล้วเอี๋ยนหุย เธอแพ้แล้ว ถอดหมวกของเธอใ้ห้พี่ชายท่านนี้เสีย"
เอี๋ยนหุย ไม่โต้แย้ง ยอมรับในการวินัจฉัยของท่่านอาจารย์ จึงถอดหมวกที่สวมให้แก่ชายคนนั้น ชายผุ้นั้นเมื่อได้รับหมวกก็ยิ้มสมหวังกลับไป

ต่อคำวินิจฉัยของขงจื้อ ต่อหน้าแม้เอี๋ยนหุยจะยอมรับ แต่สในใจกลั้บไม่ได้คิดเช่นนั้น
เอี๋ยหุยคิดว่าท่านอาจารย์ชรามากแล้ว ความคิดคงเลือะเลือน จังไม่อยากอยู่ศึกษากับขงจื้ออีกต่อไป

พอรุ่งขึ้น เอี๋ยนหุยจึงเข้าไปขอลาอาจารย์กลับบ้าน ด้วยบเหตุผลว่าที่บ้านเกิดเรื่องราว ต้องรีบกลับไปจัดการ
ขงจื้อรู้ว่าเอี๊ยนหุยคิดอะไรอยู่ ก็ไม่ได้สอบถามมากความ อนุญาตให้เอี๋ยนหุยกลับบ้านได้
ก่อนที่เอี๋ยนหุยจะออกเดินทาง ได้เข้าไปกราบลาขงจื้อ ขงจื้อกล่าวอวยพรและให้รีบกลับมาหากเสร็จกิจธุระแล้ว
พร้อมกันนนั้นก็ได้กำชับว่า "อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไ้ม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง"

เอี๋ยนหุย คำนับ พร้อมกล่าวว่า "ศิษย์จะจำใส่ใจ" แล้วลาอาจารย์ออกเดินทาง

เมื่อออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เกิดพายุลมแรงสายฟ้าแลบแปลบ เอี๋ยนหุยคิดว่าต้องเกิดพายุลมฝนเป็นแน่
จึงเร่งฝีเท้าเพื่อจะเข้าไปอาศัยอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ แต่กูฉุกคิดถึงคำกำชับของท่านอาจารย์ ที่ว่า "อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผุ้ใดหากไม่ชัดแจ้ง"
เราเองก็ติดตามท่านอาจารย์มาเป็นเวลานานลองเชื่ออาจารย์ดูอีกสักครั้ง คิดได้ดังนั้น จึงเดิดออกจากต้นไม้ใหญ่
ในขณะที่เอี๋ยนหุยเดินไปได้ไม่ไกลนัก บัดดล สายฟ้าก็ผ่าต้นไม้ใหญ่นั้นล้มลงมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา เอี๋ยนหุยตะลึงพรึงเพริด คำกล่าวของพระอาจารย์ปรโยคแรกเป็นจริงแล้ว หรือตัวเราจะฆ่าใครโดยไม่รุ้สาเหตุ?

เอี๋ยนหุยจึงรีบเดินทางกลับ กว่จะถึงบ้านก็ดึกแล้ว แต่ไม่กล้าปลุกคนในบ้าน เลยใช้ดาบที่นำติดตัวมาค่อยๆเดาะดาลประตูห้องของภรรยา เมื่อเอี๋ยนหุยคลำไปที่เตียงนอน ก็ต้องตกใจ ทำไมมีคนนอนอยู่บนเตียงสองคน!

เอี๋ยนหุยโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงหยิบดาบขึ้นมาหมายปลิดชีพผู้ที่นอนอยู่บนเตียง
เสียงกำชับของอาจารย์ก็ดังขึ้นมา "อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจง"

เมื่อเขาจุดตะเกียง จึงได้เห็นว่า คนหนึ่งคือภรรยา อีกคนหนึ่งคือน้องสาวของเขาเอง

พอฟ้าสาง เอี๋ยนหุยก็รีบกลับสำนัก เมื่อพบหน้าขงจื้อจึงรีบคุกเข่ากราบอาจารย์และกล่าวว่า "ท่านอาจารย์ คำกำชับของท่านได้ช่วยชีวิตของศิษย์ ภรรยาและน้องสาวไว้ ทำไมท่านจึงรู้เหมือนตาเห็นว่จะเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์บ้าง?"

ขงจื้อพยุงเอี๋ยนหุยให้ลุกขึ้นและกล่าวว่า "เมื่อวานอากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก น่าจะมีฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นแน่ จึงเตือนเธอว่า อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ และเมื่อวาน เธอจากไปด้วยโทสะ แถมยังพกดาบติดตัวไปด้วย อาจารย์จึงเตือนเธอว่า อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง"
เอี๋ยนหุยโค้งคำนับ "ท่านอาจารย์คาดการณ์ดังเทวดา ศิษย์รู้สึกเคารพเลื่อมใสท่านเหลือเกิน"

ขงจื้อจึงตักเตือนเอี๋ยนหุยว่า "อาจาย์ว่าที่เธอขอลากลับบ้านนั้นเป็นการโกหก ที่จริงแล้วเธอคิดว่าอาจารย์แก่แล้ว ควาิมคิดเลอะเลือน ไม่อยากศึกษากับอาจารย์อีกแล้ว
เธอลองคิดดูสิ อาตารย์บอกว่า 3*8 ได้23 เธอแพ้ ก็เพียงแค่ถอดหมวก
หากอาจารย์บอกว่า 3*8 ได้24 เขาแพ้ นั้นหมายถึงชีวิตของคนคนหนึ่ง เธอคิดว่หมวกหรือชีวิตสำคัญละ?"

เอี๋ยนหุยกระจ่างในฉับพลัน คุกเข่าต่อหน้าขงจื้อ แล้วกล่าวว่า "ท่านอาจารย์เห็นคุณธรรมเป็นสำคัญ โดยไม่เห็นแก่เรื่องถูกผิดเล็กๆน้อยๆ ศิษย์คิดว่าอาจารย์แก่ชราจึงเลอะเลือน ศิษย์เสียใจเป็นที่สุด"

จากนั้นเป็นต้นไป ไม่ว่าขงจื้อจะเดินทงไปยังแห่งหนตำบลใด เอี๋ยนหุยติดตามไม่ห่างกาย

หมายเหตุ :เรื่องนี้คัดลอกมาจากบทความ"ชกคาดเชือก หน้า 98" มติชนรายสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ 18-24 มีนาคม พ.ศ.2554

บางๆ เบาๆ สบายๆ ที่เชียงใหม่ภาคสอง


วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เขียนที่บ้าน นวมินทร์ 68


เวลาสักประมาณทุ่มกว่าผมก็ลุกขึ้นออกจากเตียง ล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นแต่ยังคงใส่ชุดเดิมที่เพิ่งเสร็จงานเมื่อตอนบ่าย ได้เวลาที่จะต้องออกสำรวจพื้นที่กันแล้วว่าแถวนิมมานเหมิมนทร์ ถนนสายที่เท่ห์ ทันสมัยและTrendyที่สุดของเชียงให่ตอนนี้มีอะไรบ้าง

ผมออกมายืนอยุ่หน้าบ้านเสลามองไปฝั่งตรงข้ามมีร้านพิซซ่าเตาถ่านเกาะลันตา ถัดไปอีกไม่ไกลเป็นที่พักเหมือนกันชื่อ”บรรทมสถาน” ผมตัดสินใจเลี้ยวซ้ายจากหน้าที่พักเพราะว่าถนนนิมมานฯอยู่ทางนั้น เดินออกมานิดเดียวก็มีร้านกาแฟเล็กๆน่ารักชื่อ”ชีสแอนด์เค็ก”เดินผ่านไปยังไม่ได้ใช้บริการ บริเวณปากซอยด้านซ้ายมือมีร้านอาหารกึงผับแต่จำชื่อไม่ได้

เมื่อออกมายืนบริเวณปากซอยนิมมานฯซอยห้า ขวามือคือต้นถนนนิมมานเป็นแยกรินคำหรือถนนห้วยแก้วซึงถ้าเลี้ยวซ้ายจากแยกนี้เป็นจะไปมช. สวนสัตว์เชียงใหม่ และขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ แต่ถ้าเลี้ยวขวาจะไปเซ็นทรัลกาดสวนแก้ว ถ้าตรงไปก็เป็นซุปเปอร์ไฮเวย์สามารถไปแม่ริม-แม่แตง หรือจะกลับกรุงเทพเลยก็ได้

จากปากซอยนิมมานห้าถ้าเลี้ยวซ้ายเดินจนสุดถนนแล้วเลี้ยวซ้ายอีกทีสามารถไปวัดสวนดอก รพ.มหาราช แต่ถ้าเดินจนสุดถนนเส้นนี้ก็สามารถไปถึงคูเมืองเชียงใหม่บริเวณประตูสวนดอก ในทางตรงกันข้ามจากสุดถนนเส้นนี้ถ้าเลี้ยวขวาก็สามารถไปกาดต้นพยอม ไปถนนหลังมช. เดินลัดเลาะเข้าซอยสามารถไปวัดอุโมงค์และวัดป่าแดงได้เช่นกัน

แล้วถนนนิมมานมีอะไร ทำไมยามค่ำคืนผู้คนจากทุกสารทิศจึงมารวมกันที่นี้ ไม่ว่าจะเป็นนคนเชียงใหม่เองหรือผู้มาเยือนชาวไทย บรรยากาศยามคำคืนคึกคักทีเดียว ต่างจากตอนกลางวันที่ค่อนข้างเงียบเหงาแต่ยังมีเสน่ห์

ต้นถนนนิมมานฯมีร้านกาแฟดอยตุงและไมค์เบอร์เกอร์สาขานิมมานฯซึงอยู่เยื้องไปทางด้านขวามือจากนิมมานฯซอยห้า ส่วนปลายถนนนิมมานฯฝั่งเดียวกับซอยห้ามีร้านกาแฟดอยช้างเห็นไกลๆอยู่ลิบๆและเยื้องกันก็คือรร.คันทารีและผับชื่อดังของย่านนี้คือ”Warm Up” ซึ่งบริเวณปลายๆของนิมมานไม่ค่อยมีร้านค้าสักเท่าไหร่เพราะส่วนมากจะกระจุกตัวกันอยู่ประมาณซอยห้าถึงซอยสิบห้า อีกอย่างถัดจากกาแฟดอยช้างเป็นสถานที่ราชการ

คราวนี้เขยิบเข้ามาใกล้อีกนิดหนึ่ง...ปากซอยนิมมานฯห้าด้านขวามือมีธนาคารไทยพาณิชย์ ฝี่งตรงข้ามมีร้านสะดวกซื้อ711 มีTesco Lotus มีร้านซักแห้ง มีร้านขายเหล้า มีธนาคารกรุงเทพ มีร้านกาแฟวาวี มีโรงแรมYesterday

ส่วนฝั่งทางด้านซ้ายใกล้ๆก็มีทั้งStarbuck Black Canyon มนต์นมสด ร้านเค็กญี่ปุ่นเชื่อดัง”มองค์บลังค์” ร้านขายยา ร้านเสื้อผ้าและร้านอาหารสารพัด ขอบอกอย่างหนึ่งว่าร้านกาแฟแถวนี้มีWiFiบริการทุกร้านเลยน่ะฮ้าฟฟฟฟฟฟฟ

ส่วนในซอยระหว่างซอยห้าถึงซอยสิบห้าก็ยังมีร้านอาหาร ผับ บาร์ กาแฟดอยวาวี 94ค๊อฟฟี้ รวมทั้งMonkey Pub ร้านไอติมไอเบอร์รี่ก็อยู่ในซอยแถวๆนิมนานนี้แหละ รับรองเลยว่าถ้ามาแถวนี้ไม่มีอดตาย ไม่มีลงแดงเพราะมีทุกสิ่งที่คุณต้องการอยู่ในบริเวณเดียวกัน

ผมก็เดินสำรวจเป็นวงหลมคือเริ่มจากปากซอยห้าเดินไปสุดถนนแล้วก็เดินกลับมาถนนอีกเส้นที่เป็นคู่ขนานกับนินมานแต่บรรยากาศต่างกันลิบลับ สรุปคือถ้ามาแถววนี้ก็เที่ยวแถวนี้แหละไม่ต้องไปเสาะแสวงหาที่อื่นอีกแล้ว ครบทุกสิ่งจริงๆ สาวๆที่มาเที่ยวก็งามๆกันทั้งนั้น เฮ้อ!!!!

ผมเดินครบรอบเป็นวงกลมแต่ก่อนกลับเข้าห้องก็แวะซื้อน้ำและกาแฟเตรียมไว้สำหร้บวันรุ่งขึ้น นี้เป็นเพียงคืนแรกเท่านั้นของการพักแถวนิมมาน..ชางน่าตื่นเต็นจริงๆ แต่วันนี้ทำงานและเดินทางเหนื่อยมาทั้งวัน ผมตัดสินใจกลับเข้าที่พัก อาบน้ำชำระร่ายกายให้สะอาดเพราะพรุ่งนี้มีโปรแกรมเดินแสวงบุญเที่ยวสามวัดในเชียงใหม่ ผมตั้งชื่อให้ว่า”เดินอย่างเต่า เที่ยวอย่างทาก”

โปรดติดตามตอนต่อไป...23.00

เบื้องลึก เบื้องหลัง เหตุปะทะไทย – เขมร ผ่านทวิตเตอร์



ข้อมูลโดย แคน สาริกา
@can_nw Thailand
บรรณาธิการและคอลัมนิสต์ สื่อเครือเนชั่น


แนวรบไทย-เขมร ด้านปราสาทพระวิหาร ไทยได้เปรียบทางภูมิประเทศ อยู่สูงกว่า จึงมีความได้เปรียบ ไม่นับเรื่องอาวุธ

ย้อนไปในอดีต ปี 2530 ในยุทธการช่องบก ยกแรกทหารไทยแตกพ่าย เพราะทหารเวียดนามยึดเนินสูงกว่า แถมอยู่ในดินแดนไทย

ยุทธการช่องบก อ.นาจะหลวย จ.อุบลฯ เกิดจากความวางใจให้ "เขมรแดง" เป็นกันชน แต่เวียดนามแอบมายึดเนินไว้แบบทหารเราไม่รู้ตัว
ยุทธการช่องบก ฝ่ายทหารภาค 2 บุกยึดเนินคืน แต่ "ติดกับดัก" ทหารเวียดนามอยู่เนินสูง กว่า ใช้ปืนใหญ่เวียดนามถล่มตายยับนับร้อย

ยุทธการช่องบก ยกต่อมา ทหารไทยปรับยุทธวิธีใหม่ รบกึ่งกองโจร ประสานการยิงปืนใหญ่ถล่ม ผ่านไปหลายเดือน เวียดนามจึงถอนกำลังออกไป

ความได้เปรียบด้านปราสาทพระวิหาร ดูได้จากยุทธการช่องพะพลัย ปี 29 ที่ทหารไทยถล่มรถถังเวียดนามแหลกคาช่องเขา เพราะไทยอยู่สูงกว่า

ทหารเขมรใต้การนำของฮุนเซน ไม่เคยรบแบบเดี่ยวๆ ที่ผ่านมา มีทหารเวียดนามเป็น "พี่เลี้ยง" ทั้งขับรถถัง ยิงปืนใหญ่

ที่มารบกับทหารไทยในยุทธการช่องบก ปี 29 ก็เป็นทหารเวียดนาม ส่วนทหารเขมรฮุนเซน เป็นแค่กำลังเสริม

เหตุใดเวียดนาม จึงต้องช่วยฮุนเซน? ขอเล่าอีกครั้ง เผื่อผู้ที่ยังไม่ทราบ

เดิมที "ฮุนเซน" เป็นเขมรแดง แต่ตอนหลังขัดแย้งกับกลุ่มพลพตที่มีจีนหนุนหลัง จึงวิ่งไปซบเวียดนาม และร้องขอให้เวียดนามมาช่วยขจัดเขมรแดง

ต้นปี 21 เวียดนามยกกำลังพลนับแสนคนยึดพนมเปญ และไล่เขมรแดงหนีไปอยู่ในป่า หลังจากนั้น ก็หนุน "เฮงสำริน เจียซิม ฮุนเซน" ปกครองเขมร

"เฮง สำริน เจียซิม ฮุนเซน" คืออดีตเขมรแดง ที่แปรพักตร์ไปสวามิภักดิ์เวียดนาม ส่วน "เตียบัน" เป็นไทยเกาะกง ที่เข้าร่วมกับฮุนเซนสู้กับเขมรแดง

ปี 22 จีนจับมือไทย ให้การหนุนช่วย "เขมรแดง" "เขมรสีหนุ" "เขมรซอนซาน" (เขมรซีไอเอ) ต่อสู้กับกลุ่มฮุนเซน ที่มีเวียดนามเป็นพี่เลี้ยง

พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้ประสานงานจาก "ปักกิ่ง" ถึง "เขมรกู้ชาติ" ที่ชายแดนไทย โดยมีทหารไทยตั้งหน่วย ฉก.อยู่ร่วมกับทหารเขมรกู้ชาติ

พล.อ.ชวลิต ในขณะนั้น ทำตัวเป็น "สายลับสองหน้า" คือหน้าหนึ่งตัวเชื่อมปักกิ่ง-ชายแดน, อีกหน้าหนึ่งคือติดต่อกับ "เตียบัน" แบบลับๆ

เมื่อเวียดนาม ถอนตัวออกจาก "หล่มสงคราม" ยูเอ็นจึงเข้ามาบริหารจัดการเลือกตั้งในเขมร พล.อ.ชวลิต จึงเป็นคนที่ฮุนเซน-เตียบัน ให้ความเคารพ

ในวันนี้ ศูนย์อำนาจเขมรอยู่ในกำมือของ "พรรคประชาชนกัมพูชา" ที่มี "สามเสาหลัก" คือ เฮงสำริน เจียซิม และฮุนเซน ที่ร่วมกันโค่นเขมรแดงปี 21

ในสามเสาหลัก ผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดคือ ฮุนเซน และพยายามจะสร้าง "ราชวงศ์ฮุน" ขึ้น โดยการวางทายาท "พล.ต.ฮุนมาเนตร" ให้สืบทอดอำนาจ

"เตียบัน" เป็นหนึ่งในศูนย์อำนาจฯ แต่มีความแปลกแยกตรงที่เตียบันคือเป็น "ไทยเกาะกง" หรือคนเกาะกง ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นดินแดนของสยาม

เมื่อฝรั่งเศสยึดดินแดนไทย จึงได้นำเอา "เกาะกง" ไปผนวกเข้ากับเขมร จึงทำให้คนเกาะกงถูกเรียกขานอีกอย่างว่า "ไทยเกาะกง"

"เตียบัน" รมว.กลาโหม(ไทยเกาะกง) จึงให้สัมภาษณ์นักข่าวไทยได้ โดยไม่ต้องใช้ภาษาเขมร แต่นาทีนี้ สัมพันธ์ "ฮุนเซน" กับ "เตียบัน" ไม่ปกตินัก

"ฮุนเซน" พยายามดึงอำนาจจาก "เจียซิม-เตียบัน" มาไว้ที่ตัวเอง และวาดหวังที่จะให้ "ฮุนมาเนตร" เป็นผู้กุมอำนาจทางทหาร

กษัตริย์สีหนุ ทรงแต่งตั้งฮุนเซนเป็น "สมเด็จอัครมหาเดโชฮุนเซน" หรือเรียกสั้นๆว่า "สมเด็จฮุนเซน"

เกมสงครามของฮุนเซนครั้งนี้ แยกไม่ออกจาก "เกมอำนาจ" ภายในพรรคประชาชนกัมพูชา นอกเหนือการใช้สงครามแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ

กองพลพิเศษของฮุนมาเนตร นายทหารส่วนใหญ่จะมาจาก "เขมรแดงเก่า" ที่ถูกฮุนเซนซื้อตัวเป็น "กองพลองครักษ์" พิทักษ์ราชวงศ์ฮุน

"ฮุนเซน"เป็นนักการเมืองที่เก๋าเกม จึงสยบ "กษัตริย์สีหนุ" ได้อยู่หมัด และทะยานสู่อำนาจ ด้วยการขจัดศัตรูการเมืองไปทีละคน
เรื่องโคตรตลก วันนี้ "ฮุนเซน" ยังญาติดีกับเวียดนาม อีกด้านหนึ่งก็จูบปากจีน และจีนเองเลิกใช้บริการเขมรแดง หลังจากพลพลตายอย่างอนาถ

เบาๆ บางๆ สบายๆ ที่เชียงใหม่


วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2554

เขียนที่บ้านพักตากอากาศ”ลุมพินี”

ช่วงวันที่ 24 – 27 มกราคมที่ผ่านมาได้ไปนอนเล่นและพักผ่อนที่เชียงใหม่เป็นเวลาสี่วันสามคืน โดยพักที่บ้านเสลาเกตส์เฮาส์ นิมมานซอยห้า

โปรแกรมนี้เริ่มวางแผนตั้งแต่รับงานและทราบว่าจะไปจบทัวร์ที่เชียงใหม่ ทริปนี้ไม่พลาดแน่เริ่มจากจองห้องพักก่อนทีแรกจองไปสองคืนแต่เปลี่ยนใจเป็นสามคืน ส่วนการเดินทางกลับก็ใช้บริการของแอร์เอเชีย..อันนี้ก็จองผ่านทางเว็บโดยให้น้องชายจองและรูดการ์ดให้ สรุปคือทุกอย่างเรียบร้อยก่อนเดินทาง

วันที่ 24 มกราคม เวลาประมาณบ่ายสามโมงเสร็จงานหลังจากที่ส่งแขกเข้าที่พัก ณ ริมปิงวิลเลจ คนขับรถ”พี่ประหยัด”ก็มาส่งแถวไนท์เชียงใหม่ ส่วนคุณพี่แกก็ขับรถดิ่งไปเยียมเมียและลูกชายตัวน้อยที่วังชิ้นต่อไป

ยืนมองซ้ายมองขวาอยู่สักพักก็มีตุ๊กตุ๊กผ่านมา
ผม”ไปนิมมานซอยห้าพี่ เท่าไหร่”
คนขับ”ร้อยห้าสิบ”
ผม”โอ้โฮ้!ขนาดนั้นเลย”
คนขับ”วันนี้มช.รับปริญญาวันสุดท้าย แถวนั้นรถติดมาก”
ผม”เพื่อนก็บอกอะน่ะว่ามช.รับปริญญา ....ไป”

ผมกระโดดขึ้นตุ๊กตุ๊กพร้อมกระเป๋าและเป้หนึ่งใบ นั่งสบายๆรับอากาศยามบ่ายและสัมผัสกับบรรยากาศสองข้างทางคูเมืองเชียงใหม่ รถตุ๊กตุ๊กขับลัดเลาะมาสักพักก็มาจอดหน้าที่พัก”บ้านเสลาเกตส์เฮาส์” ผมก็จ่ายเงินค่ารถไปหนึ่งร้อยห้าสิบบาท แน่นอนถ้าเป็นวันธรรมดาผมคงไม่ยอมจ่ายเยอะขนาดนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องจำไว้คือวันหยุด วันพักผ่อน ไม่เคยถูกเลย เป็นเรื่องธรรมดา

ความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้คือเหมือนพักอยู่ที่บ้านเลย บรรยากาศดีมากทีเดียว

เมื่อเอาของลงจากรถ”น้องวี” ก็มาต้อนรับพร้อมขอบัตรประชาชนเพื่อทำการลงทะเบียน เสร็จแล้วคุณน้องวีก็ส่งกุญแจห้องมาให้”เบอร์205” หลังจากนั้นก็นำชมห้องครัวมีทั้งตู้เย็น ชา กาแฟ ขนมปัง กระติกน้ำร้อน จาน ชาม พร้อมสรรพของพวกนี้เราสามารถใช้ได้หมดตลอดเวลา แต่ใช้แล้วก็ต้องล้างให้ด้วยนะค่ะ รวมทั้งให้Password WiFi สิ่งที่สำคัญที่สุดคือบ้านเสลาจะปิดหลังสี่ทุ่มไปแล้วแต่ยังมีประตูด้านข้างที่ต้องใช้การเปิดด้วยรหัสพิเศษ เท่ห์มาก!!!

ยกกระเป๋าขึ้นมาบนห้องซึ่งอยู่บนชั้นสองจากทั้งหมดสามชั้น บนชั้นสองมีห้องพักทั้งหมดหกห้องและสองห้องน้ำรวม ผมดิ่งตรงเข้าไปในห้อง เปิดพัดลม เปิดหน้าต่างให้กว้างเพื่อรับลมเย็นที่พัดเข้ามาในห้อง เปิดกระเป๋า ทุกอย่างเปิดหมดพร้อมแล้วสำหรับการเดินทางครั้งใหม่

ผมนอนเล่นอยู่ในห้องจนค่ำจึงเด้งลุกออกจากเตียงเพื่อสำรวจสภาพโดยรอบของถนนนิมมานเหมินทร์ แน่นอนยังไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนชุดแต่อย่างใดเพียงแค่ล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการสำรวจคืนแรก มาดูสิว่าแถวนิมมานมีอะไรบ้าง

สงสัยต้องมีภาคต่อ...ติดตามกันต่อไป

เหตุเกิดของมหากุศล



ประเภทของจิตที่เป็นมหากุศล..สมมติว่าเราใส่บาตรทุกเช้าวันเสาร์อาทิตย์ เราเคยพิจารณาไหมว่าเราทำเพราะอะำไร เช่น
นายก.ใส่บาตาิเสาร์อาทิตย์ตอนเช้าเพราะคิดว่าตนเองไม่มีเวลาใส่บาตรในวันธรรมดาเพราะต้องไปทำงานก็เลยขวนขวายในวันเสาร์อาทิตย์เพืื่อเป็นการสะสมบุญเอาไว้เป็นผลปรากฎในอนาคต ความคิดของนายก.ก็เป็นมหากุศล

นายข.ใส่บาตรเสาร์อาทิตย์เหมือนกัน แต่คิดว่าเราเป็นผุ้ทำมาหากินได้ถ้าไม่สงเคราะห์ผู้ประพฤติศีลประพฤติธรรมอย่างพระภิกษุเพราะว่าพระภิกษุทำมาหากินไม่ได้ ดังนั้นจึงขวนขวายในงานบุญในเรื่องของการใส่บาตร

นายค.ใส่บาตรเหมือนกันแต่คิดว่าพ่อแม่เคยทำมา บรรพบุรุษเคยทำมา ก็เลยทำตามๆกันไป
คำถามคือทั้งสามกรณีตัวอย่าง ทั้งสามบุีคคลทำบุญด้วยใจที่เป็นกุศลคือมีมหากุศลจิตเกิดขึ้นไหม?

เฉลยคือทั้งสามคนมีการให้ทาน..ใส่บาตรทำบุญด้วยจิตที่เป็นกุศลแต่คนละแบบคนละอย่างคนละชนิด เช่น
นายค. ทำเพราะปู่ย่าตายายเคยทำมา ทำตามๆกันไป มหากุศลแบบนี้ไม่มีปัญญาประกอบคือไม่มีปัญญาใคร่ครวญพิจารณา

นายก. ทำเพราะปรารถณาในบุญ ทำเพราะหวังผลในบุญ จิตของนายก.เป็นมหากุศลคือการหวังผลในบุญเป็นกุศลขั้นต่ำ ส่งผลในเทวภูมิชั้นต่ำ

นายข. ทำบุญเพราะตนเองเป็นผุ้ทำมาหากินได้ พระภิกษุทำมาหากินไม่ได้เราจะวางใจดูดายที่จะไม่ดูแลท่าน ถ้าไม่มีใครดูแลท่านในปัจจัีย4 ท่านจะอยู่ได้อย่างไร ความคิดอย่างนี้เป็นมหากุศลคือเกิดขึ้นพร้อมด้วยปัญญาไม่มีการชักชวน เกิดขึ้นเอง และการทำบุญแบบนี้ไม่หวังผลในบุญเพื่ออนุเคราะห์ผู้รับ จะส่งผลนำไปเกิดในเทวภูมิ ในภูมิชั้นสูง"ชั้นที่5 นิมมานนรดี"

ถ้ามีบางบุคคลไม่ได้ปรารถณาในบุญและเข้าใจในเรื่องบุญ เรื่องบาป เข้าใจในความเป็นไปในกรรมของสัตว์ทั้หลายและมีความคิดว่าเราจะทำบุญเพื่อขัดเกลากิเลส ไมไ่ด้เพื่อปรารถณาใดๆ การทำบุญแบบนี้เกิดขึ้นด้วยปัญญา ไม่มีการชักชวน เป็นจิตที่สละจริงๆ ผลของกุศลอย่างนี้เป็นผลขั้นสูงคือนำไปเกิดในเทวดาชั้นสูงสุด"ปรนิมฯ"

ลองเปรียบเทีียบ >การใส่บาตรเพื่อขัดเกลากิเลสของตัวเองกับการทำบุญที่อธิษฐานขอให้เกิดมาสวย รวย เก่ง ปัญญาดี สารพัดจะขอ แล้วดูสภาพจิตที่เกิดขึ้นแตกต่างกันไหม ผลบุญที่เกิดขึ้นอาจจะยิ่งใหญ่ อาจจะมีกำลังสูง ถ้าส่งผลย่อมนำความสุขมาให้ทั้งชาตินี้ ชาติหน้า ขณะปฏิสนธิ

ข้อมูลจากอภิธรรมออนไลน์

การเดินทาง..อีกครั้งหนึ่ง


วันที่ 31 มกราคม 2554

ณ ร้านกาแฟCoffee World สีลม

กลับจากเชียงใหม่มาหลายวันแล้ว ทริปนี้ทั้งทำงานและเที่ยวด้วยไปในตัวหมายถึงหลังจากเสร็จงานที่เชียงใหม่วันที่ 24 มกราคม ก็อยู่เที่ยวต่อที่เชียงใหม่อีกสามคืนสี่วัน โดยคราวนี้เปลี่ยนทำเลที่พักจากปกติจะพักแถวริมปิงหรือบริเวณไนท์บาร์ซ่ามาเป็นแถวนิมมานเหมินทร์ซอยห้า พักที่เกตส์เฮาส์ชื่อบ้านเสลาในราคาคืนละ 500 บาทห้องพัดลมแต่ห้องน้ำรวม

แต่ก่อนที่จะเลยเถิดไปไกลอยากจะขอสรุปทริปที่ผ่านมาก่อนเพื่อจะได้เห็นภาพรวมของการทำงานทั้งหมด

การทำงานชุดนี้เริ่มตั้งแต่วันที่ 18 – 24 มกราคม 2554 เป็นแขกของเอเย่นต์ Travel Indochina ทั้งหมดสองคน เดินทางด้วยรถตู้ Ventury พี่ประหยัดเป็นขับรถ ระยะทางทั้งสิ้นที่เริ่มจากกรุงเทพจนถึงเชียงใหม่ประมาณ 1,400 กิโลเมตร ที่พักทั้งสิ้นสี่แห่งคือ Jungle Rafe , Felix , KrungSri Riverอยุธยา และ Legendha สุโขทัย(พักที่นี้สองคืน)

ในเรื่องของWiFi โรงแรมกรุงศรีริเวอร์ชนะเลิศ รองลงมาคือFelix กาญจน์ แต่ที่สุโขทัย Legdedha สัญญาณWiFiมีแต่เฉพาะทีบริเวณล๊อบบี้เท่านั้น ไม่ครอบคลุมถึงในห้อง อีกอย่างสัญญาณก็บางเบาเหลือเกิน ส่วนRimPing Villageเชียงใหม่มีสัญญาณWiFiในห้อง

การทำงานชุดนี้ไม่มีอาหารมื้อเที่ยงรวมอยู่ในรายการนำเที่ยวก็ทำงานสนุกไปอีกแบบหนึ่ง ร้านอาหารที่เดินทางไปกินก็มี ร้านเจ สเตชั่น สถานีน้ำตกเมืองกาญจน์ ร้านผักหวาน หน้าวัดสุวรรณดาราม อยุธยยา ก๋วยเตี้ยวห้อยขาริมน่าน พิษณุโลก ร้านเรือนแพ ลำพูน ได้สัมผัสอาหารไทยในหลายบรรยากาศและหลายรูปแบบ นี้ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่อยากทำเวลาที่ต้องออกมาทำงานต่างจังหวัดเพราะได้ความรู้สึกสัมผัสกับบรรยากาศในพื้นที่นั้นๆอย่างแท้จริง

ที่เชียงใหม่ก่อนส่งแขกเข้าโรงแรมริมปิงก็ขับรถวันหนึ่งรอบเล็กๆเพื่อให้แขกได้เห็นสภาพแวดล้อมและสถานที่ตั้งต่างๆที่อยู่ใกล้โรงแรม โดยเริ่มจากเลี้ยวขวาตรงสะพานนวรัตน์ แล้วเลี้ยวซ้ายข้ามแม่น้ำปิงขับรถผ่านกาดวโรรส หลังจากนั้นขับผ่านไนท์บาร์ซ่าจนสุดถนนแล้วเลี้ยวซ้ายอ้อมมาด้านหลังเพื่อข้ามแม่น้ำปิงตรงสะพานข่วงเหล็ก สุดท้ายจึงตรงเข้าโรงแรม

สิ่งที่ต้องรู้คือที่รร.ริมปิง วิลเลจ ถ้าเลี้ยวขวาจากหน้าโรงแรมสามารถลัดมาออกสะพานข่วงเหล็กเพื่อเดินข้ามแม่น้ำปิงและไปไนท์ได้ซึ่งที่ทางที่ใกล้ที่สุด แต่ได้รับคำแนะนำจาก”ไกด์พี่เบิ้ม”ว่า เส้นนี้ไม่แนะนำเพราะว่ากลางคืนมืดอาจจะเป็นอันตรายได้ อีกอย่างคือพวกจรจัด พวกดมกาวก็นอนกันอยู่แถวนี้ ไม่แนะนำด้วยประการทั้งปวง

นี้ก็เป็นภาพโดยรวมทั้งหมดของการทำงานชุดนี้ เสร็จงานก็แฮ้ปปี้เอ็นดี้ง...

บันทึกการเดินทาง

วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554

เช้าวันนี้ออกเดินทางออกจากรร.ไอเรสสิเด้นท์เวลาประมาณ 08.45 น. การจราจรไม่ติดขัด มาถึงร้านอาหารสวนทิพย์ประมาณเก้าโมงครึ่ง แต่เวลาที่จะเริ่มเรียนทำอาหารไทยประมาณสิบโมงครึงจึงปล่อยแขกให้เดินเล่น ถ่ายรูป นังพักผ่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อเป็นการผ่อนคลายก่อนการเริ่มเรียน

เวลาประมาณสิบโมง เชฟหมูก็เดินมาตามเพราะได้เวลาเรียนทำอาหารแล้ว ผมก็เดินไปบอกแขกสองคนที่นั่งพักผ่อนอยู่ริ่มแม่น้ำเจ้าพระยา

รายการอาหารที่ต้องทำวันนี้มีสองรายการคือแพนงเนื้อและไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ การสอนจะเริ่มโดยเชฟจะเป็นผู้เริ่มทำและอธิบายตั้งแต่ต้นจบจบ หลังจากนั้นแขกจะต้องลงมือทำเอง

เมนูแรก ”แพนงเนื้อ” สิ่งแรกที่ต้องทำคือเครื่องแกง โดยใช้พริกแห้งที่แช่น้ำทิ้งไว้ประมาณหกชั่วโมงหรือค้างคืน นำมาผ่าเอาเม็ดข้างในออกและหั่นเป็นชิ้นเล็กๆเพื่อสะดวกในการทำ
แล้วตามด้วยเกลือประมาณหนึ่งหยิบมือ ตำไปได้สักพักก็เพิ่มผิวมะกรูด กะปิ กะเทียม หอม ข่าซอย รากผักชี แล้วก็ตำจนละเอียดเข้าเป็นเนื้อเดียว หลังจากนั้นตั้งเตาเปิดแก๊สใส่น้ำมันพืชลงไปนิดหน่อยและตามด้วยพริกแกงที่ตำ คนพริกแกงจนเข้าเป็นเนื้อเดียวจึงเติมนำกะทิลงไป ตามด้วยน้ำตาลปี๊ป แล้วก็คนต่อจนนำกะทิแตกมันแล้วจึงนำเนื้อที่หั่นเตรียมไว้ใส่ลงในกะทะคนจนเนื้อสุกแล้วจึงปลุกรสและปิดท้ายด้วยถั่วลิสงบด สุดท้ายตักใส่จ่าน ตบแต่งนิดหน่อยด้วยใบมะกรูดสอยและพริกแดงสอยพร้อมราดน้ำกะทิ พร้อมเสริฟพร้อมข้าวร้อนๆ

เมนูที่สอง “ไก่ผัดเม็ดมะม่วง” เริ่มด้วยเทน้ำมันพึชลงกะทะ ระหว่างที่รอให้น้ำมันเดือดก็หั่นไก่เป็นลูกเต๋าแล้วนำใส่ถ้วยใบใหญ่ เสร็จแล้วตอกไข่ลงไปแต่เอาเฉพาะไข่ขาวแล้วคลุกให้เข้ากับเนื้อไก่ หลังจากนั้นใส่แป้งข้าวโพดตามลงไปอีก คลุกเคล้าให้ทั่ว สาเหตุที่ใส่แป้งข้าวโพดเพราะเมื่อทอดแล้วเนื้อไก่ด้านนอกจะกรอบแต่ด้านในนุ่ม ระหว่างที่รอให้น้ำมันเดืออดก็หั่นพริกแห้งหยาบๆ หั่นต้นหอมและหอมใหญ่เป็นลูกเต๋าเตรียมไว้ เมื่อน้ำมันเดือดพลุ่งพล่านก็นำไก่ที่เตรียมไว้ใส่ลงกะทะทันที ทอดจนเหลืองหลังจากนั้นใส่พริกและหอมใหญ่ที่เตรียมเอาไว้ลงไปทอดกับไก่ด้วย เสร็จแล้วเทน้ำมันทิ้งและนำไก่พักไว้ก่อน น ขั้นตอนต่อไปคือนำแห้วที่เตรียมไว้ใส่ลงในกะทะคนให้เหลืองแล้วตามด้วยน้ำมันหอย น้ำพริกเผา พริกไทย น้ำปลา ผัดให้เข้ากัน สุดท้ายจึงนำไก่ที่ทอดพร้อมหอมใหญ่และพริกลงไปผัดรวมกันอีกครั้ง คลุกเคล้าให้ทั่วแล้วก็ตักใส่จาน...พร้อมเสริฟ

เบ๊ดเสร็จแล้วทำสองรายการใช้เวลาไปประมาณสองชั่วโมงได้ทานมื้อเที่ยงเมื่อตอนเที่ยงตรงพอดี แต่เมนูอาหารเที่ยงทางสวนทิพย์เสริฟผัดผักรวมและต้มยำกุ้งถ้วยเล็ก(คนละถ้วย)เพิ่มให้อีก ตามด้วยผลไม้ ชาหรือกาแฟ ส่วนของที่ระลึกเป็นทองม้วนและข้าวเต้นน้ำแตงโม

ออกจากร้านอาหารสวนทิพย์ ปากเกร็ด ประมาณบ่ายโมง เราเดินทางกันต่อปลายทางคือท่าเรือรีโซเทลเพื่อนั่งเรือหางยาวไปยังที่พักคือJungle Raft โดยใช้เวลาในการเดินทางประมาณสามชั่วโมงหรือเป็นระยะทางประมาณ209กิโลเมตร
ประมาณ 16.00 น. มาถึงยังที่พักและแยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาศัย มาเจอกันอีกทีตอนทานอาหารค่ำเวลา 19.30 พร้อมกับดูระบำมอญเวลา 21.00 น. หลังจากนั้นแยกย้ายกันเข้านอน

ปล.เมนูอาหารค่ำวันนี้คือบวบผัดไข่ ผัดผักรวมไก่ ปีกไก่ล่างตุ๋น แกงหมูสัปปะรด

ราตรีสวัสดิ์...เขียน ณ แพล่า@งจังเกิ้ลราฟ ห้องเบอร์ 29 เวลา 21.10 น. คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงด้วยจ๊ะ