หลุยส์ โทมัส กุนนิส เลียวโนเวนส์ เขาเป็นใครและทำอะไรที่ประเทศไทยสมัยรัชกาลที่๕
หมายเหตุ :
เคยได้ยินและอ่านเจอมาเหมือนกันว่าลูกชายของนางแอนนาเปิดบริษัทค้าไม้อยู่ในประเทศไทยช่วงสมัยรัชกาลที่๕ และปัจจุบันบริษัทนี้ก็ยังคงดำเนินกิจการ แต่ทราบเพียงเท่านี้จริงๆ จนวันนี้ได้ไปอ่านข่าวหนึ่งซึ่งเนื้อเรื่องก็สอดคล้องกันพอดี ก็เลยลองเข้าไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมและก็เจอ ก็เลยคัดลอกเก็บเอาไว้เพื่อเป็นข้อมูลในการทำงานต่อไป ใครที่สนใจก็ลองเข้าไปอ่านประวัติเพิ่มเติมได้นะครับ ผมเอาลิงค์เจ้าของข้อมูลจริงๆที่ผมลอกมาแปะไว้ด้านล่างสุด...ขอบคุณอีกรอบสำหรับข้อมูลดีๆ
หลังจากผูกพันอยู่กับประเทศไทยมากว่า 40 ปี หลุยส์ ตี เลียวโนเวนส์ ได้ก่อตั้งบริษัทหลุยส์ โทมัส เลียวโนเวนส์ ขึ้นที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2448 โดยมารดาของหลุยส์คือ นางแอนนา แฮเรียท เลียวโนเวนส์
หลุยส์ โทมัส กุนนิส เลียวโนเวนส์ เดินทางมาถึงกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2405 เมื่ออายุได้เพียง 7 ปี หลุยส์ได้รับการศึกษาเบื้องต้นจากมารดาพร้อมกับพระราชโอรสและพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวภายในพระบรมมหาราชวัง
จนกระทั่งได้เดินทางกลับไปศึกษาต่อในยุโรปจนจบการศึกษา และต่อมาในปี พ.ศ. 2424 หลุยส์ซึ่งขณะนั้นอายุ 27 ปี ได้เดินทางกลับมายังแผ่นดินสยามอีกครั้งและได้รับราชการเป็นหัวหน้ากองทหารม้าในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ภายหลังลาออกจากราชการในปี พ.ศ. 2427 หลุยส์ได้เข้าทำงานในบริษัทบอร์เนียว โดยทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลการบุกเบิกกิจการป่าไม้สักในภาคเหนือของสยาม หลังจากลาออกจากบริษัทบอร์เนียวในปี พ.ศ. 2429 หลุยส์ ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกับ บริษัทบอมเบย์เบอร์มา เทรดดิ้ง ในการจัดการสัมปทานไม้สัก ก่อนที่จะร่วมกับหุ้นส่วนชาวอเมริกันจัดตั้งบริษัทของตนเองขึ้นในปี พ.ศ. 2432
หลุยส์ได้นำผลประโยชน์จากการดำเนินธุรกิจในส่วนของตนเองทั้งหมดมาเปิดบริษัทหลุยส์ โทมัส เลียวโนเวนส์ ขึ้นเมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2448
ต่อมาในปี พ.ศ. 2454 บริษัทฯ จึงได้เข้าร่วมกับบริษัท Denny, Mott & Dickson จากประเทศอังกฤษจัดตั้งโรงเลื่อย ท่าเรือ รถยก และ โกดังสินค้าริมน้ำที่กรุงเทพฯ ภายใต้ชื่อบริษัทหลุยส์ ตี เลียวโนเวนส์ จำกัด
แม้ว่าหลุยส์จะมีบทบาทในบริษัทของตนเองน้อยลงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2449 เป็นต้นมา แต่หลุยส์ก็ยังคงมีบทบาทเป็นอย่างสูงในสังคมกรุงเทพฯ
จนกระทั่งปี พ.ศ. 2456 เมื่อเขาเดินทางออกจากสยามและถึงแก่กรรมที่ประเทศอังกฤษในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ ในปี พ.ศ. 2462
ปี พ.ศ. 2529 บริษัทหลุยส์ ตี เลียวโนเวนส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้รวมกิจการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัท Getz และได้ปรับเปลี่ยนแนวทางดำเนินธุรกิจมาเป็นดังเช่นในปัจจุบัน อันส่งผลให้บริษัทยังคงไว้ซึ่งสมรรถภาพและประสิทธิภาพในการแข่งขันท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจของโลกสมัยใหม่ไว้ได้
อนุสรณ์แห่งมรดกทางวัฒนธรรม
เสาชิงช้าซึ่งใช้ในพระราชพิธีตรียัมปวาย เพื่อบวงสรวงพระอิศวร ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์คู่บ้านคู่เมืองของไทย ซึ่งบริษัทฯ ได้บริจาคไม้สักในการบูรณะเสาชิงช้าเมื่อปี พ.ศ. 2463 เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่หลุยส์ โทมัส เลียวโนเวนส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทฯ ที่ถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2462 แม้ว่า พระราชพิธีดังกล่าวจะถูกยกเลิก ไปเมื่อปี พ.ศ. 2476 แต่เสาชิงช้าก็ยังคงเป็นอนุสรณ์แห่งมรดกทางวัฒนธรรมของไทยและเป็นสัญลักษณ์ของบริษัทจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
คัดลอกข้อมูลทั้งหมดจาก
http://www.gun.in.th/board/index.php?topic=86538.0
ข้อมูลเพิ่มเติมจาก ผจก.ออนไลน์
http://bit.ly/VMBAV0
โรงแรม “137 Pillars House”
ย้อนอดีตไปเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ในสมัยที่เชียงใหม่ยังอุดมไปด้วยป่าไม้สัก และมี “บริษัทอีสบอร์เนียว จำกัด” ของต่างชาติมารับสัมปทานทำป่าไม้
ในเชิงพาณิชย์โดยถูกกฎหมาย บริษัทอีสบอร์เนียวฯ ได้มาสร้างออฟฟิศแห่งแรกในเชียงใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2432(ค.ศ. 1889)
ในปีเดียวกันนี้บ้าน 137 เสา(ดั้งเดิม) ก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นบ้านพักของ “คุณหลุยส์ ลีโอโนเว่นส์”(ลูกชายแหม่มแอนนา ลีโอโนเว่นส์ ผู้เป็นอาจารย์ถวายการสอนภาษาอังกฤษในรัชกาลที่ 5)
เหตุที่บ้านหลังนี้ได้ชื่อว่า บ้าน 137 เสา ก็เพราะบ้านนี้มีเสามากถึง 137 ต้นด้วยกัน
บ้าน 137 เสา ถูกใช้เป็นบ้านพักของผู้จัดการบริษัทอีสบอร์เนียวฯ มาจนถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2470(ค.ศ. 1927) กองทัพญี่ปุ่นได้เข้ามาควบคุมเชียงใหม่ ทำให้ผู้จัดการบริษัทอีสบอร์เนียวฯในยุคนั้นต้องหลบหนีไปอยู่พม่า และปล่อยบ้านทิ้งไว้
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คุณวิลเลี่ยม เบน(บิดาของลุงจรินทร์(แจ็ค) เบน ผู้เป็นหัวแรงสำคัญในการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์วัดเกด)ได้เข้ามาซื้อบ้านหลังนี้ และสร้างครอบครัวอยู่ที่นี่
ผ่านมาในปี พ.ศ. 2545 (ค.ศ.2002) “คุณพนิดา วงศ์พันเลิศ” ได้เดินทางมาพักผ่อนในเชียงใหม่และได้พบกับบ้านหลังนี้แล้วตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น จึงทำการขอซื้อบ้านหลังนี้ที่ขณะนั้นเป็นที่รู้จักกันในนาม“บ้านดำ” เพื่อปรับปรุง พร้อมสร้างอาคารเพิ่มเติมเพื่อเป็นที่พัก โดยได้เปลี่ยนชื่อจาก บ้าน 137 เสา เป็น “137 Pillars House” ซึ่งก็เป็นการนำชื่อเดิมมาเรียกขานใหม่ให้เป็นสากลนั่นเอง