บันทึกฐานยุตโต:ว่าด้วยเรื่องอภิธรรม



๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๒
** วันนี้ก็ครบรอบวันพระใหญ่อีกครั้งถ้านับตั้งแต่บวชนี้ก็เป็นครั้งที่สี่แล้วน่ะโยม เมื่อคืนอาตมาโทรบอกโยมน้องให้เอาพระในห้องอาตมาฝากโยมแม่มาให้อาตมาตอนเช้าช่วงบิณฑบาต เช้านี้ก็ได้พระมาสมปรารถนาด้วยกันสามองค์คือ พระสิวลี พระรอดวัดบวร และหลวงปู่แดงพุธโท องค์สุดท้ายอาตมาได้มาหลายปีแล้วช่วงที่ลงไปทำทัวร์ทางภาคใต้ขากลับก็แวะวัดหลวงปู่แดงที่หลังสวนก็ได้มาบูชาหนึ่งองค์เล็กๆ ที่วัดตอนบ่ายถึงเย็นจะมีโยมเอาที่ใส่กรอบพระมาขายอาตมาก็ได้โอกาสวันนี้เปลี่ยนกรอบพระรอบสักหน่อยเพราะกรอบมีไอน้ำเยอ่ะเหลือเกิน
อาตมาอาจจะคิดช้าไปหน่อยแต่ก็ไม่สายเกินไปคือจะนำเอาพระทั้งสามองค์เข้าโบสถ์ทุกครั้งเวลาสวดมนต์ทำวัตรเช้าและเย็น ที่เลือกสามองค์นี้มีเหตุผลนิดหน่อยอย่างพระรอดอาตมาก็ห้อยขอมานานเพราะโยมแม่ให้มานานมากแล้ว หลวงปู่แดงมีคนทักว่าอาตมาต้องมีติดตัว พระสิวลีมีพุทธคุณเรื่องโชคลาภไปไหนไม่อดอยาก

** ติดเอาไว้ตั้งแต่คราวที่แล้วโน้นเกี่ยวกับการศึกษาของพระ อาตมาจะขอเกริ่นอีกนิดหน่อยแล้วจะเจาะเข้าเรื่องเลย การศึกษาของพระหลักๆแล้วมีอยุ่ด้วยกันสามเรื่องคือนักธรรมตรี โท และเอก อันนี้เรียนเฉพาะช่วงเข้าพรรษา ภาษาบาลีหรือที่เราเรียกว่าเปรียญเรียนทั้งปีมีทั้งหมด ๙ ระดับ และสุดท้ายที่จะพูดถึงวันนี้คืออภิธรรมก็มีทั้งหมด ๙ ระดับด้วยกัน
พระไตรปิฎกที่เรารู้จักกันแบ่งออกเป็นสามหมวดคือ พระวินัย พระสูตรและพระอภิธรรม ทั้งสามหมวดรวมกันแล้วได้ทั้งหมด ๔๕ เล่ม ๒๒,๐๐๐ กว่าหน้า มีธรรมะนับได้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์หรือเรื่องหรือบท สาเหตุที่มี ๔๕ เล่มเพื่อหมายถึงระยะเวลา ๔๕ พรรษาที่ทรงเผยแพร่พุทธศาสนา
พระวินัย เป็นเรื่องบทบัญญัติและข้อบังคับในการปฏิบัติตัวของพระสงฆ์หรือผุ้ออกบวช ถ้าจะให้เข้าใจง่ายก็คือกฎหมายพระนั้นเอง ซึ่งก็คือศีล ๒๒๗ ข้อ เอาไว้โอกาสหน้าจะมาอธิบายเรื่องศีลกันโยมจะได้มีความรุ้เข้าใจเกี่ยวกับศีลของพระ เพราะอาตมาคิดว่าโดยส่วนมากเรารุ้แค่ว่าพระถือศีล ๒๒๗ ข้อ แต่ไม่ทราบว่ามีอะไรบ้าง
พระสูตร เป็นเรื่องเกี่ยวกับธรรมเทศนา หรือธรรมบรรยายต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้เหมาะสมแก่บุคคล เหตุการณ์ และโอกาส รวมถึงพระธรรมเทศนาของพระสาวกและพระสาวิกาที่กล่าวตามแนวพระพุทธพจน์
พระอภิธรรม เป็นธรรมมะที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไปตามเนื้อหา ไม่เกี่ยวกับบุคคลหรือเหตุการณ์ใดๆทั้งสิ้น เรียกว่าเป็นวิชาการล้วนๆ อาทิ เรื่องขันธ์ ๕ ก็จะอธิบายโดยละเอียดว่าขันธ์ ๕ คืออะไร แบ่งออกเป็นอะไรได้บ้าง แต่ละอย่างนั้นเป็นอย่างไร
สำหรับหลักสูตรการศึกษาพระอภิธรรม สามารถแบ่งออกได้สามระดับคือจูฬ มัชฌิม และ มหา ในแต่ละระดับแบ่งย่อยออกอีกสามระดับคือตรี โท และเอก ซึ่งใช้เวลาในการเรียนต่างกันดังนี้
ชั้นที่ ๑ จูฬอาภิธรรมิกะตรี ( ใช้เวลา ๖ เดือน )
ชั้นที่ ๒ จูฬอภิธรรมิกะโท ( ใช้เวลา ๖ เดือน )
ชั้นที่ ๓ จูฬอภิธรรมิกะเอก ( ใช้เวลา ๖ เดือน )

ชั้นที่ ๔ มัชฌิมอาภิธรรมิกะตรี ( ใช้เวลา ๑๒ เดือน )
ชั้นที่ ๕ มัชฌิมอาภิธรรมิกะโท ( ใช้เวลา ๑๒ เดือน )
ชั้นที่ ๖ มัชฌิมอาภิธรรมิกะเอก ( ใช้เวลา ๑๒ เดือน ) จบระดับนี้เทียบเท่าการศึกษาระดับม. ๖

ชั้นที่ ๗ มหาอภิธรรมิกะตรี ( ใช้เวลา ๑๒ เดือน )
ชั้นที่ ๘ มหาอภิธรรมิกะโท ( ใช้เวลา ๑๒ เดือน )
ชั้นที่ ๙ มหาอภิธรรมิกะเอก ( ใช้เวลา ๑๒ เดือน ) ผุ้จบการศึกษาในชั้นสูงสุดเทียบเท่าปริญญาตรีในทางโลก สามารถศึกษาต่อระดับปริญญาโท ในหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้
เพราะฉะนั้นตั้งแต่ชั้นที่ ๑ – ชั้นที่ ๙ ใช้เวลาทั้งสิ้น ๗ ปีกับอีก ๖ เดือน ถือว่าใช้เวลาพอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งพระสัทธัมมโชติกเถระ ธัมมาจริยะ พระเถระระดับบัณฑิตผุ้มีความแตกฉานในพุทธศาสนาจากประเทศพม่าเป็นผุ้จัดทำหลักสูตรเอาไว้ อีกอย่างทางพม่าเขาเก่งทางด้านนี้
สำหรับผู้สนใจสามารถเข้าไปดุรายละเอียดได้ที่ http://www.buddhism-online.org/ หรือ e-mail: elearn@mcu.ac.th เขาเปิดสอนสำหรับบุคคลทั่วไปด้วยนะโยม


สาธุ

๒๑. ๓๐ น. วัดสุวรรณประสิทธิ์

ปล. บันทึกฉบับนี้อาจจะจริงจังไปสักหน่อยถือสะว่า “ รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม ” นะโยม

บันทึกฐานยุตโต: เนื่องในวันแม่



๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๒
** เจริญพรโยม เมื่อวานเป็นวันที่ ๑๒ สิงหาคม วันแม่แห่งชาติ อากาศร้อนช่วงบ่ายงดเรียนแต่มีการบ้าน ทำวัตรเสร็จก็มานั่งพักผ่อนหน้าห้องพูดคุยกับหลวงพี่ท่านอื่นๆตามปกติ รอเวลาที่โยมป้อและโยมแม่ของป้อมาถวายของก่อนเพล อาตมาก็ใช้เวลาช่วงนั้นซ้อมมนต์ที่จะต้องกรวดน้ำและให้พรแต่ซ้อมจนเคลิ้มเกือบหลับไปเหมือนกัน พอถึงเวลาจริงๆบทกรวดน้ำก็ยังท่องจำได้ไม่หมด สุดท้ายเมื่อถึงเวลาจริงๆก็ต้องเปิดหนังสือ หลังถวายของเสร็จก็นั่งคุยกันนิดหน่อยสอบถาม พูดคุยเรื่องทั่วไปหลังจากนั้นโยมทั้งสองก็ลากลับ อาตมาก็กลับขึ้นมาบนห้องเตรียมฉันเพล มื้อนี้โยมป้อถวายก๋วยเตี๋ยวไก่ตุ๋นสองถุงพร้อมซาละเปาทับหลีและอื่นๆ แน่นอนท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน จำวัดไปสักหน่อยก็ตื่นขึ้นมาเพราะอากาศร้อน สรงน้ำสบายตัวแล้วก็ลงมือทำการบ้านพุทธประวัติสิบข้อ เหลืออีกข้อเดียวก็จะเสร็จ ทันใดนั้นท่านตึ้งที่อยุ่ห้องเบอร์หนึ่งขึ้นมาตามพระใหม่ห้ารูปเดินทางไปวัดมหาธาตุท่าพระจันทร์พร้อมกับพระอาจารย์กาญจน์และพระอาจารย์อีกรูปเพื่อไปสวดมนต์และเจริญภาวนาแก่องค์พระราชินีเนื่องในวันแม่ รถติดนิดหน่อยและถนนบางเส้นรอบสนามหลวงปิดการจราจร เดินทางถึงวัดประมาณห้าโมงเย็นทันเวลาสวดมนต์พอดี ใช้เวลาในการสวดมนต์และนั่งสมาธิทั้งสิ้นประมาณชั่วโมงเศษก็เดินทางกลับ ระหว่างทางก็ผ่านร้านอาหารมากมายทำให้รุ้สึกอยากเหมือนกัน กลับมาถึงวัดประมาณสองทุ่มครึ่งเดินตรงดิ่งขึ้นมาที่ห้องเปิดกระติกน้ำแข็งฉันนมเปรี้ยวไปหนึ่งกล่องตามด้วมกาแฟร้อนผสมโอวัลตินไปหนึ่งแก้วแล้วก็สรงน้ำ สบายตัวและสบายท้อง
เมื่อวานมีพระทั้งสิ้นประมาณสามพันรูปที่เดินทางไปร่วมพิธีที่วัดมหาธาตุถือว่าเป็นโอกาสที่ดีอีกครั้งของ.อาตมาที่ได้มีส่วนรวมในพิธีที่สำคัญของประเทศเป็นอีกหนึ่งมงคลในชีวิต....สาธุ เปรียบเทียบกับช่วงที่เป็นฆราวาสโอกาสดีๆและสิ่งดีๆอย่างนี้แทบจะไม่ได้ทำ อย่างมากก็เปิดทีวีดูพิธีที่เขาถ่ายทอดสดจากท้องสนามหลวง
เมื่อวานช่วงเช้าเดินบิณฑบาตญาติโยมออกมาตักบาตรกันมากพอสมควร อาหารที่ได้มามากมายพอสมควร ปัจจัยที่โยมๆถวายมาก็มีบ้างเหมือนกันจำไม่ไดแล้วว่าเท่าไหร่แต่อาตมาก็นำใส่ในโบสถ์เรียบร้อยทุกบาททุกสตางค์หลังทำวัตรเช้าเสร็จ อาตมาก็ตั้งใจเอาไว้ว่าเงินทุกบาทที่ญาติโยมถวายมาให้จะถวายวัดหมด มีหลวงพี่ท่านหนึ่งแนะนำให้นำเงินที่ได้มาไปซื้อสังฆทานแล้วนำไปถวายวัดต่างจังหวัดที่ขาดแคลน แต่อาตมากลัวว่าถ้าเก็บเอาไว้นานจำนวนเงินก็จะเพิ่มมากขึ้นจนห้ามใจไม่ไหว อาตมาก็สาธุและขอบคุณหลวงพี่ท่านนั้นไปสำหรับคำแนะนำที่ดีอย่างนั้น
สาธุ
๑๐.๑๙ วัดสุวรรณประสิทธิ์

ปล. เรื่องนี้มาจากพระอาจารย์ตอนอบรมเกี่ยวกับคุณนายชื่อโต วันหนึ่งคุณนายโตอยากจะนิมนต์พระมาทำบุญที่บ้าน ถึงวันงานพระก็สวดมนต์ก่อนแล้วค่อยฉันเพล หลังจากนั้นพระต้องสวดต่อก่อนจะรับเครื่องสังฆทาน และปัจจัยเป็นอันเสร็จกิจพิธี พระสวดไปรอบแรกคุณนายโตฟังด้วยความปิติ มีความสุขเป็นอย่างมาก พักฉันเพลอาหารที่เตรียมไว้ก็เลิศรสจนพระฉันกันไม่ไหว พระขึ้นสวดอีกรอบ แหม! ถูกใจคุณนายโตจริงๆ เสียงพระที่เทศน์ก็เพราะจับใจ มาถึงบทสวดกรวดน้ำ
" ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปุเรนติ สาคะรัง เอวะเมวะ อิโต ทินนัง...."
เท่านั้นแหละเป็นเรื่องเลย พอคุณนายโตได้ยินคำว่าอีโต( อิโต ) ก็เกิดความไม่พอใจว่าทำไมพระมาด่าเราอย่างนี้ อาหรก็ จัดให้เต็มที่ สังฆทานก็ดี ปัจจัยในซองก็รูปล่ะ ๕๐๐ บาท คุณนายโตโกรธแล้วสิเรียกเอาสังฆทานจากพระพร้อมทั้งปัจจัยคืนหมดเลย
เรื่องนี้ก็เป็นที่เลื่องลือไปหลายวัดเลยและเป็นที่ขยาดไปตามกัน วันหนึ่งคุณนายโตอยากจะนิมนต์พระมาสวดที่บ้านอีกครั้งเพราะยังไม่สบายใจจากคราวที่แล้ว ครั้งนี้คุณนายโตมานิมนต์พระอีกวัดหนึ่งไป พระท่านก็เคยได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาก่อนก็กลัวล่ะสิ กลัวจะโดนคุณนายโตไล่กลับแบบคราวที่แล้ว ถึงวันงานพระที่ได้รับนิมนต์ก็ท่องมนต์กันอย่างเต็มที่เป็นที่ถูกอกถูกใจคุณนายโตเป็นอย่างมาก อาหารก็ประเคนกันเย่อะแยะจนพระฉันกันไม่ไหว มาถึงช่วงสำคัญที่ต้องสวดบทกรวดน้ำพระที่โดนนิมนต์ไปคราวนี้ก็ยังนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น " ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง เอวะเมวะ คุณนายโต ทินนัง เปตานัง ..." คุณนายโตได้ยินดังนั้นดีใจเป็นที่สุดตบเข่าฉาดเลย แหม! พระวัดนี้เทศน์ดีจริงๆ ไม่เหมือนพระวัดที่นิมนต์มาคราวที่แล้วแหมมาสวดมาด่าเรา ผลที่สุดคุณนายโตเพิ่มปัจจัยในซองจาก ๕๐๐ เป็น รูปล่ะ ๑๐๐๐ บาท !
เอวังก็มีเพียงประการล่ะฉะนี้

บันทึกฐานยุตโต: โยม!จะขำไหมเนี่ย



๑๐ ส.ค. ๒๕๕๒

** เผลอแป๊บเดียวนี้อาตมาบวชมาได้เดือนกว่าแล้วอีกไม่นานก็จะสิ้นเดือน เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆ ช่วงเวลาที่เป็นพระจิตใจมันสงบ มันสบายใจดีจริงๆโยม เทียบไม่ได้เลยกับก่อนที่จะบวชมันมีเรื่องต้องให้คิดมากมาย ยิ่งถ้าทำงานแล้วด้วยต้องคิดมากขึ้นไปอีก จิตสงบใจก็สงบ ทุกอย่างอยุ่ที่ใจจริงๆ

** ช่วงเช้าๆตอนตื่นนอนหลังอาบน้ำถ้าวันไหนได้ฉันกาแฟร้อนน่ะโยม รุ้สึกว่าร่างกายมันสดชื่น ออกเดินเที่ยวบิณฑบาตโปรดโยมมีความสุขจริงๆ ถ้าวันไหนไมได้ฉันวันนั้นก็เดินแบบเหี่ยวๆ สงสัยจะคิดไปเองหรือเปล่า โยมคิดว่าอย่างไรบ้างล่ะ
วันนี้หลังกลับจากบิณฑบาตก็มาแกะซองปัจจัยที่โยมถวายให้มา...เจอแบงค์ยี่สิบสองซอง สิบบาทหนึ่งซอง อีกซองเป็นแบงค์สีม่วงห้าร้อยบาท แต่อาตมาไม่ได้เก็บเงินทั้งหมดเอาไว้ใช้ส่วนตัวหรอก ช่วงหลังอาตมาก็ใช้เงินตัวเองในการซื้อของเล๊กๆน้อยๆ สำหรับปัจจัยโยมทั้งหมดวันนี้ ๕๕๐ บาท อาตมาก็ทำบุญไปเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าใช้จ่ายต่างๆของวัด ทำไปแล้วรุ้สึกสบายใจจริงๆ มันโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก สวดมนต์ทำวัตรเสร็จแต่ล่ะวันก็
เดินสบายใจจนบางครั้งหลวงพี่ท่านอื่นๆก็แซวว่าเป็นอะไรอ่ะหลวงพี่เดินยิ้มมาคนเดียว

** เรื่องห้องน้ำสำหรับพระก็สำคัญน่ะ ที่จะเล่าให้ฟังเป็นประสบการณ์ที่พระรูปอื่นและเณรเจอมา อาตมายังไม่เจอประสบการณ์นี้กับตัวเองและไม่อยากเจอด้วย นั้นคืออาการปวดท้องหนัก ถ้าปวดท้องก่อนที่จะเริ่มเดินออกจากวัดก็โชคดีไปหมายความว่าให้หัวหน้าสายที่พระรูปนั้นๆเดินบิณฑบาตด้วยทุกวันเดินไปก่อนแล้วพระค่อยเดินกวดตาม แต่อีกกรณีคือปวดท้องหนักระหว่างบิณฑบาต โยมลองนึกสภาพพระสิ...ทั้งจีวรที่ห่ม บาตร และย่ามที่สะพายอยุ่ใต้จีวร รวมทั้งอาหารที่โยมตักบาตรใส่มาให้เต็มไปหมด แล้วถ้าจะเข้าห้องน้ำระหว่างทางทุลักทุเลน่าดุเลยน่ะ อย่างเช่นวันนี้มีพระรูปหนึ่งปวดท้องระหว่างเดินบิณฑบาตก็เลยต้องเปลี่ยนไปปั้มน้ำมันอย่างรวดเร๊ว อีกรูปที่ได้ฟังมาคือท่านก็ปวดอย่างหนักแล้วอ่ะน่ะประมาณว่าวินาทีนี้ต้องห้องน้ำเท่านั้น แต่ไม่สามารถเพราะต้องให้โยมตักบาตรให้เสร็จก่อน สมาธิต้องแข๊งเพราะไหนจะต้องให้พรโยม ไหนจะต้องควบคุมข้าศึกไม่ให้ทะลวงประตูเข้ามาได้ พอเสร็จเท่านั้นล่ะรีบบอกพระอาจารย์แวะเข้าห้องน้ำแทบไม่ทันนะโยม โยมๆที่เคยมีประสบการณ์แบบนี้คงพอจะเข้าใจความรุ้สึกน่ะว่ามันเป็นเช่นไร

** บิณฑบาตรแต่ละวันของที่โยมถวายก็จะซ้ำกันบ้าง หรืออาจจะมีแปลกๆบ้าง ล่าสุดที่อาตมาได้มาคือโยมใส่มะพร้าวเผามาให้หนึ่งลูก มาถึงวัดก็กองไว้ข้างล่างแหละเพราะไม่รุ้จะฉันยังไง หรืออย่างหลวงพี่บางท่านเจอโยมใส่แตงโมมาให้ทั้งลูกเลยดีน่ะที่ไม่ใช่ลูกใหญ่เพราะไม่งั้นเต็มบาตรพอดีเลยล่ะโยม หรือกล้วยเป็นหวีก็เจอมาแล้ว
หรือช่วงที่ผ่านมาหลายวันแล้วล่ะตรงกับวันพระพอดี ตอนนั้นยังไมได้เปลี่ยนสายบิณฑบาต เดินผ่านหน้าเซเว่นอีเลฟเว่นพนักงานก็นิมนต์ตักบาตรวพวกอาหารคาว อาหารแห้งไม่มีปัญหาเท่าไหร่หรอกแต่ขวดน้ำเปล่าที่ถวายมาให้น่ะสิเป็นขวดขนาดเล๊ก แค่ขวดเดียวไม่มีปัญหาหรอกโยมแต่วันนั้นเจอไปหลายขวดเลยวันนั้นเดินสะพายย่ามไหล่ขวาเอียงไปเลย อันนี้เป็นประสบการณ์เล่าสุ่กันฟังสนุกๆน่ะ ญาติโยมจะตักบาตรใส่อะไรมาให้พระก็ตามศรัทธาน่ะโยม พระท่านไม่ว่าหรอก สาธุ
มีอีกเรื่องที่พระอาจารย์ท่านเล่าให้ฟัง มีโยมคนหนึ่งแก่แล้วแต่เป็นคนพม่ามาอยุ่เมืองไทยนานแล้วเวลาวันพระก็จะมายืนรอพระเพื่อตักบาตร แต่พอถึงวันพระ พระทุกรูปรุ้จักแกดีจะพยายามหลีกไม่เดินผ่านหน้าบ้านแก วันนั้นพระอาจารย์หลบไม่ทัน “หลวงพ่อนิมนต์เจ้าค่ะ” โยมนิมนต์แล้วจะเดินหนีก็ไม่ได้ ปกติเวลาโยมจะใส่บาตรอาจจะมีการอธิษฐานใช่ไหมแต่ไม่นาน แต่โยมป้าคนนี้แกศรัทธาแรงกล้ามากอธิษฐานอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนานประมาณครึ่งชั่วโมงถึงจะเริ่มใส่ อาหารที่ใส่ก็ไม่ธรรมดาน่ะอย่างน้อยต้องมีเป็ดหรือไก่ซีพีหนึ่งตัว ใส่ไปแค่นี้ก็เต็มบาตรแล้ว อีกอย่างรับบาตรโยมป้าเสร็จไม่ต้องบิณฑบาตต่อแล้วเดินกลับวัดได้เลย เพราะโยมคนอื่นๆก็ใส่บาตรกับพระรูปอื่นเรียบร้อย
อีกเรื่องเกี่ยวกับพระบวชใหม่บวชได้ไม่กี่วันก็ถึงวันพระใหญ่ แล้วพระรูปนี้ก็อยุ่กุฏิใกล้กับเณร เณรรุปนี้ก็ไม่ธรรมดาเพราะว่าบวชมานาน เณรก็นิสัยดีเข้าไปแนะนำเลยว่า “พรุ่งนี้วันพระใหญ่หลวงพี่ต้องห่มจีวรครองชุดใหญ่ลงศาลาเลยน่ะ ” พระบวชใหม่ฟังแล้วก็สงสัยสิว่าไอ้ครองชุดใหญ่เป็นยังไง เณรก็บอกไปว่า “ให้เอาพวกบาตร ตาลปัตร หมอน เสื่อ ผ้าหุ่ม ห่มพร้อมจีวรลงศาลาให้หมดเลยนี่แหละครองชุดใหญ่ ” รุ่งเช้าพระรูปนั้นก็ทำตามที่เณรแนะนำมาครองชุดใหญ่เต็มที่เลยมาลงศาลามาอย่างภาคภูมิใจ แต่โยมนึกสภาพออกใช่ไหมว่าผลจะเป็นอย่างไร และอะไรจะเกิดขึ้นกับเณรรุปนั้นบ้าง
อีกเรื่องเกี่ยวกับพระบวชใหม่เหมือนกัน เป็นธรรมดาของพระที่บวชใหม่เรื่องเกี่ยวกับวินัยยังไม่ค่อยรุ้ วันหนึ่งพระรูปนั้นก็เปิดกระป๋องนมข้นที่โยมเขาเอามาถวายจะฉันอะไรสักอย่างตัวหัวค่ำแล้ว เณรเห็นเข้ารีบทักพระรูปนั้นทันที “ หลวงพี่! นมข้นเปิดแล้วต้องฉันให้หมดน่ะ ไม่งั้นอาบัติ ” พระใหม่ได้ยินคำว่าอาบัติก็ตกใจสิ ถามเณรต่อไปว่า “อ้าว! แล้วจะทำยังไงล่ะฉันคืนเดียวไม่หมดหรอก ” เณรตอบไปว่า “ไม่ยากหรอกหลวงพี่ แค่หลวงพี่เอานมข้นที่เปิดไว้แล้วถวายให้เณรก็ไม่อาบัติแล้ว” แหม! ไม่รุ้ว่าเณรรูปนั้นหลอกพระใหม่ได้นมข้นไปกินทุกวันไปกี่กระป๋องกว่าที่พระใหม่จะรุ้ว่าเก็บเอาไว้ได้ไม่อาบัติ
วัดที่อาตมาจำพรรษาก็มีเณรเหมือนกัน ที่นี้ก็ไม่ธรรมดาขนาดเคยแกล้งพระอาจารย์ที่คุมตึกเณรมาแล้วเลยอย่างเช่น ขังพระอาจารย์เอาไว้ในห้องตัวเณรก็ลงมาเดินเล่นข้างล่าง หรือ หลอกให้พระอาจารย์กินฉี่

เจริญพร
๒๒.๑๔ วัดสุวรรณประสิทธิ์

บันทึกฐานยุตโต:มรดกบาป


บันทึกฐานยุตโต: บาปมรดก
๙ ส.ค. ๒๕๕๒

** เมื่อวันพระใหญ่ที่ผ่านมาหลังจากหลังจากลงโบสถ์สวดมนต์และฟังปาติโมกข์เสร็จก่อนที่เดินขึ้นตึกพระอาจารย์นัฐให้ตามท่านปุ่นและหลวงพ่อแดงลงมาพบที่สำนักงานด้านล่าง ช่วงที่ท่านทั้งสองนั่งอยุ่ในสำนักงานอาตมาแอบมองเข้าไปในห้องสังเกตุเห็นได้ถึงบรรยากาศที่จริงจังและเครียดนิดหน่อย ข้อสงสัยที่มีหลังจากที่ได้พูดคุยและสอบถามเป็นดังนี้คือพระอาจารย์กาญจน์และพระอาจารย์นัฐได้กล่าวตักเตือนเรื่องการรักษาความสะอาดและขยะบนชั้นสี่ เรื่องเสียงที่ดังจากเพลงและเครืองเล่นโทรทัศน์แบบพกพา เรื่องการพูดคุยเสียงดัง เรื่องการลงไปฉันเช้าที่ใต้ศาลาด้านล่าง โดยประเด็นทั้งหมดเป็นการกล่าวฝากท่านทั้งสองมาบอกและเตื่อนพระรูปอื่นๆบนชั้นสี่ว่าให้ช่วยกันรักษาและปฏิบัติตามระเบียบให้ถูกต้อง ถึง ณ ตอนนี้พระทุกท่านก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

** วันนี้ช่วงหัวค่ำก่อนจะเริ่มเรียนวิชาวินัยมุขพระอาจารย์กาญจน์เข้ามากล่าวถึงการคัดเลือกประธานรุ่น รองประธานสองรูป เลขานุการ และเหรัญญิกตำแหน่งล่ะหนึ่งรูป โดยพรุ่งนี้ช่วงบ่ายหลังเลือกเรียนวิชาพุทธประวัติจะมีการลงคะแนนเสียงและคัดเลือกกัน ผลจะเป็นประการใดจะแจ้งให้ทราบอีกทีนะโยม....

** เรื่องวินัยมุขที่เรียนเมือวานตอนหัวค่ำพระอาจารย์สมบัติได้กล่าวถึงในเรื่องการถวายสังฆทาน โยมทราบไหมว่าสังฆทานที่เราๆปฏิบัติกันอยุ่นั้นไม่ถูกต้องตามวินัยของพระ หมายถึงถังสีเหลือง สีส้มที่โยมๆยกถวายพระนั้นแหละ
สังฆทานนั้นคือของอะไรก็ได้ที่ถวายแก่สงฆ์ตั้งแต่สี่รูปขึ้นไป โดยไม่เฉพาะเจาะจง ไม่จำเป็นต้องมาเป็นถัง แต่ถ้าโยมต้องการที่จะถวายทานแบบเฉพาะเจาะจงเรียกว่า “ บุคลิกทาน”
อีกอย่างถ้าโยมต้องการถวายอาหารไม่ว่าจะเป็นของแห้งหรือของคาวสามารถถวายได้ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงหรือเพล แต่ถ้าเลยเพลไปแล้วของแห้งที่โยมถวายให้พระ...พระที่รับของไปก็อาบัติทันที บางครั้งโยมไม่ทราบเพราะ
ถวายมาทั้งถังแต่ในถังปรกติก็จะมาอาหารแห้งอยุ่แล้ว ใช่ไหมโยม?

** เรื่องการประเคนอาหารก็เหมือนกันยังมีความเข้าใจผิดและสับสนกันมากพอสมควรระหว่างพระด้วยกันเองและฆราวาส อาทิเช่น การจับโต๊ะประเคนอาหารให้พระ ที่ถูกคือต้องประเคนอาหารให้พระทีละอย่าง ทีละจานไม่ใช่จับขอบโต๊ะประเคน พระบางรูปก็ไม่ทราบก็รับประเคนทั้งโต๊ะเช่นกัน อาบัติต่อพระทั้งโต๊ะทันที
อีกเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกันคือเมื่อพระรับประเคนอาหารจากโยมเรียบร้อยแล้ว ถ้าโยมมาจับอาหารที่ประเคนไปแล้วโยมต้องประเคนอาหารนั้นใหม่ให้แก่พระ โยมคิดว่าถูกหรือผิด ที่พระอาจารย์สมบัติท่านอธิบายให้ฟังเป็นดังนี้ อาหารที่โยมประเคนให้พระเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นโยมมาจับอาหารต่างๆที่ประเคนให้เพื่อความเรียบร้อยหรือเพื่อจัดระเบียบ หรือมาถูกต้องอาหารโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ถ้าเป็นดังนี้ไม่จำเป็นต้องประเคนใหม่ ยกเว้นแต่อาหารในถ้วยหมดโยมยกออกไปเพื่อเติมใหม่อันนี้ต้องประเคนอีกรอบ แต่ถ้าโยมเติมอาหารบนโต๊ะนั้นไม่ต้องประเคนใหม่น่ะโยม !
จะเสียการประเคนต้องประกอบไปด้วย
๑. รับประเคนแล้วเปลี่ยนเป็นเพศหญิง
๒. รับประเคนแล้วมรณภาพ
๓. รับประเคนแล้วลาสิกขา
๔. รับประเคนแล้วต้องอาบัติปาราชิก
๕. รับประเคนแล้วให้สามเณรหรือคฤหัสถ์
๖. รับประเคนแล้วให้เขาไปโดยไม่เสียดาย
๗. รับประเคนแล้วถูกแย่งชิงเอาไป
ยังมีอีกหลายประเด็นที่เราเขาใจแบบผิดกัน บางเรื่องอาตมาก็ได้เขียนบันทึกบอกญาติโยมไปแล้ว สิ่งที่เป็นความเข้าใจผิดเหล่านี้พระอาจารย์ท่านเรียกว่า บาปมรดก

๒๒.๑๒ วัดสุวรรณประสิทธิ์

บันทึกฐานยุตโต : การเรียน การศึกษาของพระ



๗ ส.ค. ๒๕๕๒

**เมื่อวานเป็นวันพระใหญ่ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๙ ช่วงเช้าออกเดินบิณฑบาตโยมถวายปัจจัยมาให้ทั้งสิ้น ๔๖๐ บาท เท่าที่จำได้อาตมาใช้เงินจำนวนนี้ซื้อน้ำดื่มขวดใหญ่ไปสองขวด น้ำแข๊งหนึงก้อน และอะไรอีกจำไม่ได้แต่
เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๖๐ บาท ที่เหลืออีกสี่ร้อยบาทอาตมาเอาใส่บาตรเงินใบใหญ่ในโบสถ์ทั้งหมดเป็นค่าน้ำค่าไฟ ที่สำคัญหน้าซองใบหนึ่งเขียนเอาไว้ว่าชำระหนี้สงฆ์ แต่ก็สบายใจขึ้นเมื่อได้นำเงินทั้งหมดชำระหนี้สงฆ์เป็นค่าน้ำค่าไฟไป สาธุ!

**เมื่อวานตอนสายพระอาจารย์กาญจน์เรียกพระใหม่สี่รูปรวมทั้งอาตมาให้ไปขนไม้ที่โยมเขาถวายให้วัด อาตมาแล้วพระอีกสี่รูปก็ห่มคลุมลงมาเรียบร้อยแต่รถยังไม่มา ไปสอบถามพระอาจารย์..ท่านก็บอกว่างั้นให้ไปรอบนห้องก่อนถ้ารถมาพร้อมแล้วจะประกาศให้ทราบอีกที อาตมาถอดเอาจีวรผึงลมและเอนหลังได้นิดหน่อยทางกองคลังก็ประกาศนิมนต์เรียกทันที อาตมาลงไปรูปสุดท้ายแต่ก็ยังไม่พร้อมเลย อีกทั้งจวนได้เวลาสิบโมงเช้าแล้วหมายถึงตอนสิบโมงครึ่งต้องขึ้นไปบนศาลา อาตมาก็เดินกลับขึ้นห้องทันทีไม่ไปขนไม้แล้ว กลับเข้าห้องสรงน้ำเตรียมลงศาลาดีกว่า อาหารที่โยมๆประเคนให้มาก็น่ากินทั้งนั้น พูดง่ายๆคืออิ่มเลยล่ะโยม ระหว่างที่ลุกขึ้นเพื่อเดินกลับขึ้นห้องชายจีวรไปเดินถ้วยแกงเลอะเทอะเลยทำให้อาตมาต้องรีบซักจีวรอย่างรวดเร๊วเพราะบ่ายสองต้องลงทำวัตรและฟังสวดปาติโมกข์ต่อ สักเที่ยงกว่าอาตมาก็รีบจำวัดทันทีไม่อย่างนั้นสวดมนต์และฟังปาติโมกข์ลำบากแน่ๆ

ไม่แน่ใจว่าเคยบอกโยมไปหรือยังว่าสวดปาติโมกข์คืออะไร การสวดปาติโมกข์คือการทวนศีล ๒๒๗ ข้อของพระเป็นภาษาบาลี ผู้สวดมีพระรุปเดียวที่ต้องขึ้นนั่งธรรมมาสน์ พระที่เหลือพนมมือรับฟัง สำหรับพระที่สวดเป็นระดับพระอาจารย์ที่ต้องท่องและสวดคนเดียวเป็นภาษาบาลีโดยใช้เวลาประมาณ ๔๐ นาที หลังจากนั้นท่านเจ้าอาวาสจะพูดคุย หรือ อาจจะมีเรื่องที่ต้องแจ้งให้พระลูกวัดรับทราบ ...จบจากนี้เป็นอันเสร็จพิธีแยกย้ายกลับกุฎิ

**พูดถึงภาษาบาลีทำให้อาตมานึกขึ้นได้ว่าควรจะเขียนเรื่องอะไรต่อไป ในช่วงเวลาเข้าพรรษาเป็นเวลา ๓ เดือน เป็นช่วงเวลาที่พระจะมีเวลาศึกษาเล่าเรียน อย่างพระบวชใหม่หรือนวกะ( ตั้งแต่บวชใหม่จนถึงห้าพรรษา) และเณรจะต้องเรียนนักธรรมตรีทุกรูปไม่มีข้อยกเว้น
ระดับการศึกษาและการเรียนของพระแยกง่ายๆดังนี้น่ะ
๑. นักธรรมดรี โท และเอก ตามลำดับ
๒. ภาษาบาลีเบื้องต้นจนถึงประโยค ๙ เป็นระดับสูงสุด ( ที่เราเรียกว่าเปรียญ ๑ –๙ นั้นเอง )
๓. อภิธรรมตั้งแต่ชั้นที่ ๑ ถึงชั้นที่ ๙
ทุกระดับการศึกษาต้องเรียนและสอบผ่านถึงจะได้เลื่อนไปเรียนในระดับที่สุงขึ้น เบื้องต้นพระใหม่และเณรทุกรุปต้องเรียนนักธรรมตรีและสอบให้ผ่าน ปีถัดไปในช่วงเข้าพรรรษาจึงจะเรียนนักธรรมโทและภาษาบาลีควบสองวิชาเลย
สำหรับพระรูปใดที่สอบไม่ผ่านนักธรรมตรีจะต้องเข้าเรียนใหม่เหมือนเดิมทุกประการ โดยการสอบนักธรรมตรีนั้นไม่มีการจำกัดระยะเวลาว่าจะต้องสอบให้ผ่านภายในกี่ครั้ง สามารถสอบกี่ครั้งก็ได้จนกว่าจะผ่านแต่จะต้องสอบผ่านให้เร็วที่สุดเพราะไม่อย่างนั้นจะเป็นการสร้างความกดดันให้ตัวเอง

สำหรับเณรที่เรียนอาจจะมีปัญหานิดหน่อยในเรื่องการอ่านและการเขียนเพราะโดยส่วนมากแล้วจะจบการศึกษาขึ้นต่ำคือประถมศึกษาปีที่ ๖ เณรบางรุปจบแค่เพียงป.๔ เอง แต่ถ้ามีความพยายามก็ไม่ใช่ปัญหาน่ะโยม
จากข้อมุลที่อาตมามีอยุ่ในมือภูมิหลังของผุ้บวชเรียนมาจากภาคอีสานมีมากเป็นอันดับหนึ่ง ภาคเหนืออันดับสอง ภาคกลาง ภาคใต้และภาคตะวันออกเป็นอันดับท้ายๆ เกินกว่าร้อยล่ะ ๙๕ บรรพบุรษและครอบครัวเป็นชาวนา

สาธุ
๒๒.๐๓ วัดสุวรรรประสิทธิ์



บันทึกฐานยุตโต : วันโกน ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๙



๕ ส.ค. ๒๕๕๒

** วันนี้เป็นวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน สิงหาคม พรุ่งนี้เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ วันพระใหญ่อีกหนึ่งครั้ง เช้าวันนี้หลังจากทำวัตรเสร็จเรียบร้อยอาตมาก็เข้าคิวเพื่อโกนหัว เสร็จเรียบร้อยหัวมันวับเหมือนพระบวชใหม่เลยโยม แต่ขอบอกก่อนน่ะว่าไม่ได้โกนเองน่ะ อาตมายังไม่เก่งถึงขั้นนั้นแต่ได้ท่านหม่องพระที่มีประสบการณ์ช่วยโกนหัวให้ อาตมาเป็นคิวที่สี่ ช่วงเช้าหลังโกนหัวอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยได้พักผ่อนนิดหน่อยหลังจากนั้นก็เป็นเวลาเพล หลังเพลอ่านหนังสือพิมพ์ไปนิดเดียวหลับไปเลยโยม ตื่นมาอีกทีก็บ่ายสองโมงกว่าเพราะว่าอากาศร้อน วันนี้อากาศร้อนอบอ้าวเหลือเกินถือว่าเป็นวันที่ร้อนที่สุดตั้งแต่จำพรรษามาเลยอยากให้ฝนตกจัง!!!

เอาล่ะวันนี้อาตมาจะเขียนถึงเรื่องอะไรดีเอ่ย หวังว่าเรื่องที่เขียนคงไม่น่าเบื่อนะเพราะอาตมาอยากจะเผยแพร่ความรุ้ความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องพุทธศาสนาให้โยมได้ทราบกัน บางเรื่องที่ปฏิบัติกันมาก็เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แต่ถ้าเรื่องไหนที่อาตมาเขียนไปแล้วโยมบางท่านมีความรุ้ความเข้าใจอยุ่แล้วก็ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความรุ้กันนะโยม

เรื่องที่จะเขียนนี้อาตมาจดมาจากการบรรยายของพระมหาทองรัก เกี่ยวกับกรรมให้ผลต่างกัน ๑๔ ประการ จัดได้ ๗ คุ่ดังต่อไปนี้
๑. คนที่มี่อายุยืน เพราะว่าไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
๒. คนที่มีโรคน้อย เพราะว่าไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่รังแกสัตว์
๓. คนที่สวย หล่อ ผิวพรรรณดี เพราะไม่มีความอาฆาตพยาบาท
๔. คนที่มียศฐาบรรดาศักดิ์ เพราะว่าไม่มีความอิจฉาริษยา
๕. คนที่ร่ำรวย มีบริวารมาก เพราะว่าบริจาคทานสม่ำเสมอ อีกทั้งยังชักชวนผุ้อื่นอีกด้วย
๖. คนที่เกิดมามีชาติตระกูลสูง เพราะว่ามีความอ่อนน้อมถ่อมตน
๗. คนที่มีปัญญา เพราะว่าคบค้าสมาคมกับคนดี หรือ กัณลยาณมิตร หรือ บัณฑิต
ถ้าโยมๆชาติหน้าอยากเกิดมามีครบทั้งเจ๊ดข้อเบื้องต้นก็ต้องปฏิบัติให้ได้ครบและอย่างสม่ำเสมอนะ รับรองว่าผลของการประกอบคุณงามความดีจะส่งผลทั้งชาตินี้และชาติหน้าอย่างแน่นอน

๒๑.๒๐ วัดสุวรรณประสิทธิ์
ปล. รูปนี้ถ่ายล่าสุดเมื่อวันโกน ขึ้น ๑๕ ค่ำ ที่ผ่านมา



บันทึกฐานยุตโต: ครบรอบหนึ่งเดือน



๔ ส.ค. ๒๕๕๒
** เช้าวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๒ เป็นวันครบรอบบวชหนึ่งเดือนของอาตมา เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆ
เช้านี้ตื่นนอนมาตอนตีห้า..โชคดีที่ท่านตึ้งที่อยุ่ห้องเบอร์หนึ่งมาปลุกไม่งั้นคงหลับยาวแน่เลย ตื่นขึ้นมาก้อรีบลุก
ขึ้นอาบน้ำ ห่มจีวรเตรียมออกเที่ยวบิณพบาตตามปกติเช่นทุกวัน แต่วันวันตอนที่ลงสวดมนต์ทำวัตรเช้า ง่วงนอนมาก ขนาดว่าสวดมนต์ยังเกือบหลับนะโยม กลับขื้นมาที่ห้องรีบจำวัดทันทีตื่นมาก้อประมาณสักสิบโมงครึ่ง ยังพอมีเวลาเหลือก่อนเพล อาตมาก็รีบซักสะบง จีวรและอังสะ ๓ ตัว แล้วก็ฉันเพล หลังจากนั้นก็เข้าห้องนอนอ่านหนังสือนิดหน่อยแล้วก็หลับจำวัดไปอีกรอบ....ตื่นมาอีกทีประมาณสามโมงครึ่ง สรุปวันนี้จำวัดพักผ่อน ชาร์ตแบตเต็มที่เลยรุ้สึกสดชื่นเหมือนยืนอยุ่บนยอดเขาเลย ลืมบอกไปว่าสามวันนี้งดเรียนเพราะมีคณะนักเรียนมาเข้า
ค่ายธรรมะที่วัด...สบายไปได้พักกันเต็มเหยียดก่อนที่เริ่มเรียนใหม่หลังวันพระที่ ๖ ส.ค. ๒๕๕๒

**โยมรุ้ใช่ไหมว่าเราทุกคนล้วนมีกรรมดีและกรรมชั่ว ส่วนผลขอกรรมดีและกรรมชั่วที่เรียกว่าวิบากกรรมนั้นเป็นที่สะสมของกรรมดีและชั่ว วิบากกรรมนี้พระอาจารย์บอกว่าจะแสดงก่อนที่เราจะเสียชีวิต ถ้าเราประกอบ
กรรมดีไว้มากหรือพอสมควรก่อนจะหมดลมหายใจวิบากกรรมตัวนี้จะมาแสดงผลทำให้เราคิดแต่สิ่งดีๆที่เราทำไว้...ตายไปก้อได้ขึ้นสวรรค์ แต่ถ้าเราทำกรรมชั่วสะสมเอาไว้มากกว่ากรรมดีผลก้อจะออกมาในทางตรงกันข้าม
วิบากกรรมสามารถที่จะส่งผลต่อชีวิตเราระหว่างที่ยังมีชีวิตอยุ่ด้วยน่ะโยม

พระอาจารย์ท่านเปรียบกรรมชั่วเหมือนตะกอนที่นอนก้นอยุ่ในโอ่ง ส่วนกรรมดีเปรียบเหมือนน้ำที่อยุ่ในโอ่ง
ถ้าน้ำในโอ่งมากจนเต็มตัวตะกอนหรือความชั่วก็จะถูกกดทับเอาไว้ข้างใต้ไม่สามารถจะขึ้นมาทำให้น้ำขุ่นมัวได้
แต่ถ้าน้ำในโอ่งน้อยหรือน้อยมากจนถึงชั้นของตะกอน ตะกอนนั้นก็จะสามารถลอยขึ้นมาปะปนกับน้ำที่สะอาดได้ เพราะฉะนั้นโยมก็ลองพิจารณาดูแล้วกันว่าอยากจะให้ตะกอนอยุ่ในสภาพเช่นไร แต่อาตมาว่าหมั่นเติมน้ำในโอ่งให้เต็มอยุ่บ่อยๆจะดีกว่า ตะกอนจะได้นอนจมอยุ่ข้างใต้

แต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่มนุษย์ทุกคนมีวิบากกรรมเราไม่สามารถจะหลีกหนีตัวนี้ไปได้พ้น จะต้องเจอกันถ้วนทั่วทุกคนเลย

เจริญพร
๒๒.๐๗ วัดสุวรรรณประสิทธิ์

ปล.วันนี้บิณฑบาตอาตมาได้ปัจจัยมาทั้งสิ้น ๒๕๐ บาท แต่เมื่อตอนทำวัตรเย็นอาตมานำเงินทั้งหมดใส่เป็นค่าน้ำและค่าไฟของวัดเรียบร้อย
รูปด้านบนเป็นบางส่วนของเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ทำงาน ที่มาร่วมงานวันอุปสมบทอาตมา สาธุ

บันทักฐานยุตโต:กิจสงฆ์ ๑๐ ข้อและอานิสงฆ์ของการให้ทาน



๓ ส.ค. ๒๕๕๒

**เมื่อวานลืมบอกโยมไปว่า.. อาตมาได้รับเงินกัณฑ์เทศน์เรียบร้อยแล้วเมื่อวานนี้ตอน
เย็นหลังจากที่กวาดวิหารลานเจดีย์เสร็จ จำนวนเท่าไหร่รุ้ไหม ๕๐๐ บาท อันที่จริงจำนวนเงินไม่สำคัญหรอกแค่บอกกล่าวให้โยมรับทราบเท่านั้นเอง
เช้านี้อาตมาก้อฝากให้โยมแม่เรียบร้อยแล้วตอนที่เดินบิณฑบาตพร้อมกำชับให้โยมแม่เอาไปเก็บไว้ที่หิ้งพระถือว่าเป็นเงินก้นถุงที่สำคัญ จริงๆแล้วเงินก้อนนี้อาตมาก็ไม่ตั้งใจที่จะเอาไปใช้หรอกน่ะ เก็บเอาไว้เป็นสิริมงคลกับชีวิตนั้นแหละ
เพิ่มเติมข้อมุลอีกนิดน่ะโยมคือเรื่องกิจ ๑๐ อย่างของสงฆ์
๑. ลงอุโบสถ
๒. บิณฑบาตเลี้ยงชีพ
๓. สวดมนต์ไหว้พระ
๔. กวาดอาวาสวิหารลานเจดีย์
๕. รักษาผ้าครองคือ สบง ไตร จีวร
๖. อยู่ปริวาสกรรม ( หลังออกพรรษาเป็นพิธีล้างกรรมของพระ )
๗. โกนผมปลงหนวดตัดเล๊บ
๘. ศึกษาสิกขาบทและปฏิบัติพระอาจารย์
๙. เทศนาบัติ
๑๐.พิจารณาปัจจเวกขณะทั้งสี่

ถือว่าอาตมาก็ปฏิบัติได้พอสมควรน่ะถ้าพิจารณาจากสิบข้อเบื้องต้น....

**ข้ามมาอีกเรื่องน่ะโยมเกี่ยวกับการให้ทานหมายถึงอานิสงฆ (ผลของความดี) ที่ต่างกันของการให้ทานมีด้วยกัน ๔ ประการ

๑.คนประเภทตระหนี่ทาน ชาติหน้าเกิดใหม่เป้นคนรวย แต่ไม่มีทายาทไว้สืบสกุล

๒.ชวนคนอื่นทำทาน แต่ตัวเองไม่ทำ ชาติหน้าเกิดใหม่ยากจนข้นแค้น ไม่มีที่อยุ่อาศัย ไม่มีแม้กระทั่งเสื้อผ้าใส่ แต่ทายาทหรือลูกเพียบ

๓.ชวนคนอื่นทำทานและตัวเองทำด้วย ชาติหน้าเกิดใหม่ร่ำรวยและมีทายาทบริวารลูกหลานเย่อะ

๔.ไม่ชวนใครทำทานเลยและยังติเตียนผุ้อื่นที่ทำทาน ชาติหน้าเกิดใหม่ยากจนข้นแค้นอย่างแสนสาหัสประเภทไม่มีข้าวจะกิน ไม่มีทายาท ไม่มีลูกหลาน ไม่มีบริวาร

ชาติหน้าอยากเกิดเป็นแบบไหนก็เลือกเอาน่ะโยม รักออกแบบไม่ได้ แต่การทำบุญทำทานออกแบบให้ได้สำหรับการเกิดใหม่ชาติหน้า ข้อมูลนี้อาตมาได้มาจากพระอาจารย์วิทยากรท่านมาบรรยายให้ฟังที่วัด น่าสนใจก็จดไว้แล้วความรุ้ที่ได้มาเผยแพร่ต่อญาติโยมต่อๆไป ไม่สงวนลิบสิทธิ์น่ะโยมถ้าเห็นว่ามีประโยชน์สามารถนำไปบอกต่อๆกันได้

เจริญพร
๒๒.๒๕ วัดสุวรรณประสิทธิ์

บันทึกฐานยุตโต: กลับสู่ชีวิตพระตามปกติ


๒ สิงหาคม ๒๕๕๒
** หลังจากวันที่ ๒๙ ก.ค. เป้นต้นมาชีวิตพระนวกะก็กลับเขาสู่ภาวะปกติ อีกทั้งการเทศน์ก็ผ่านไปเรียบร้อย
เป็นที่น่าพอใจ เพราะฉะนั้นทุกวันนี้เช้ามืดตื่นนอนแล้วออกไปเที่ยวบิณฑบาตร ฉันอาหารเช้า ลงโบสถ์ทำวัตรเช้า
ว่างพักผ่อนแล้วก็ฉันเพล บ่ายโมงเริ่มเรียนพุทธประวัติพระพุทธเจ้า สี่โมงเย็นกวาดวิหารลานเจดีย์ ห้าโมงครึ่ง
ลงโบสถ์นั่งสมาะและทำวัตรเย็น หนึ่งทุ่มถึงสามทุ่มเรียนวินัยหรือกฎหมายของสงฆ์ ๒๒๗ ข้อ เลิกเรียนพักผ่อนและเข้านอนตอนสี่ทุ่ม เช้าตื่นขึ้นมาก้เหมือนเดิมเป้นอย่างนี้ทุกวัน
**เช้าวันวันหลังจากทำวัตรเสร็จอาตมาก็เดินไปที่กองคลังเพื่อแจ้งเรื่องที่จะไม่ออกกิจนิมนต์ทุกกรณี แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงจะแจ้งให้ทางวัดทราบอีกที เพราะฉะนั้นชีวิตตอนนี้ก้อมุ่งปฏิบัติกิจของสงฆ์ และเรียนหนังสือ ไม่ต้องคอยกังวลว่าเมื่อไหร่ทางกองคลังจะประกาศชื่อผ่านทางไมโครโฟนแจ้งเรื่องกิจนิมนต์ถือว่าสบายใจไปได้ในเรื่องนี้ จะได้มีสมาธิทำอย่างอื่นต่อไป
**สำหรับเรื่องที่ค้างเอาไว้คราวที่แล้วเกี่ยวกับกับการหักเงินของพระทุกรูปที่มีกิจนิมนต์ทั้งในวัดและนอกวัดจำนวน ๓๐ เปอร์เซ็นต์ หลังจากที่สอบถามพระอาจารย์ไพบุลย์ก็ทราบว่าตัดเป้นค่าใช้จ่ายในวัด อาทิ ค่าน้ำ ค่าไฟ และอื่นๆ แต่ก็มีเหมือนกันที่พระบางรูปเมื่อได้รับเงินแล้วไม่เดินไปที่กองคลังเพื่อให้ทางวัดหักเปอร์เซ็นต์
**ความรุ้ที่ได้จากเรียนวินัยหรือกำหมายสงฆ์ ๒๒๗ ข้อ ทำให้ได้ความรุ้ใหม่ขึ้นมากเลย ทำให้ทราบว่าการเป้นพระที่ปฏิบัติได้ถูกระเบียบวินัยทุกข้อทำได้ยากมาก แต่ก้อมีน่ะโยมที่พระบางรุปสามารถทำได้ อาทิ
เรื่องเงินแค่พระรับเงินก้อผิดวินัยแล้วแต่ไม่ร้ายแรงสามารถสารภาพหรือทางพระเรียกว่าปลงอาบัติได้ หรือ
เรืองเมื่อโยมตักบาตรแล้วพระสวดมนต์ให้พรก็ถือเป็นอาบัติอีกข้อ หรือ
โยมตักบาตรแต่ไม่ได้ถฮดรองเท้าพระก้ออาบัติ หรือ
ถ้าใช้ให้คนอื่นที่ไม่ใช่ญาติทางสายเลือดซื้อของหรือวานให้เขาทำกิจธุระของพระ ข้อนี้พระก็อาบัติ ยกเว้นถ้าโยมคนนั้นปวารณาเป้นโยมอุปัฐฐาก หรือ
ถ้าพระไปเกี่ยวข้องกับการซื้อขายแลกเปลี่ยนโดยมีเงินทองเข้ามาเกี่ยวข้องพระก็อาบัติ ทางออกคือไม่ว่าจะทำอะไรเกี่ยวกับเงินทองให้ญาติทำให้ดีที่สุด แต่อาตมาว่าคงจะยากน่ะ
อาจารย์ที่สอนวิชาวินัยชื่ออาจารย์สมบัติ ตอนนี้กำลังศึกษาปริญญาโทและกำลังทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับประวัติพระพุทธเจ้า เรื่องที่สอนอาจารย์เก่งมาก สุดยอดเลยโยม
**วันสุดท้ายของการอบรมพระนวกะเมื่อวันที่ ๒๙ ที่ผ่านมา หลวงพี่โกวิทได้สอบถามวิทยากรพระอาจารย์ว่า " นิพพานคืออะไร" คำตอบทีได้คือพระอาจารย์
ยกตัวอย่างหลอดไฟที่เปิดอยุ่มันสว่างใช่ไหมโยม แต่พอปิดหลอดไฟก้อมืดความหมายคือความว่างเปล่า นั้นคือคำตอบสุดท้าย
อีกข้อที่อาตมาเรียนถามพระอาจารย์ไปว่า " หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วยังมีพระรุปอื่นอีกไหมในสมัยปัจจุบันที่ถึงขั้นนิพพานแบบพระพุทธเจ้า "
คำตอบคือในบ้านเราก้อมีพระหลายรุปเหมือนกันแต่ไม่ค่อยเป้นข่าว ข้อสังเกตุตือหลังจากที่ละสังขารแล้วร่ายทั้งหมดไม่เปื่อย ไม่เน่า หรือถืงแม้ว่าจะมีการเผาแล้ว
แต่ร่างการทั้งหมดไม่ได้กลายเป้นอัฐิเหมือนคนทั่วไป...นั้นแหละเปนพระอริยสงฆ์ที่เข้าถึงนิพพาน
อาตมาหวังว่าบันทึกฉบับนี้อย่างน้อยก้อให้ความรุ้ ให้ความเข้าใจแก่ญาติโยมได้บ้างไม่มากก้อน้อย
เจริญพร
๒๒.๑๓ นวกะห้องเบอร์สี่ วัดสุวรรณประสิทธิ์
ปล.ภาพประกอบฉบับนี้เป้นรุปรวมบรรดาญาติๆของอาตมา แต่มากันไม่ครบทุกคนหรอกเพราะว่าวันงานบางส่วนติดภาระกิจกัน