๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๒
** วันนี้ก็ครบรอบวันพระใหญ่อีกครั้งถ้านับตั้งแต่บวชนี้ก็เป็นครั้งที่สี่แล้วน่ะโยม เมื่อคืนอาตมาโทรบอกโยมน้องให้เอาพระในห้องอาตมาฝากโยมแม่มาให้อาตมาตอนเช้าช่วงบิณฑบาต เช้านี้ก็ได้พระมาสมปรารถนาด้วยกันสามองค์คือ พระสิวลี พระรอดวัดบวร และหลวงปู่แดงพุธโท องค์สุดท้ายอาตมาได้มาหลายปีแล้วช่วงที่ลงไปทำทัวร์ทางภาคใต้ขากลับก็แวะวัดหลวงปู่แดงที่หลังสวนก็ได้มาบูชาหนึ่งองค์เล็กๆ ที่วัดตอนบ่ายถึงเย็นจะมีโยมเอาที่ใส่กรอบพระมาขายอาตมาก็ได้โอกาสวันนี้เปลี่ยนกรอบพระรอบสักหน่อยเพราะกรอบมีไอน้ำเยอ่ะเหลือเกิน
อาตมาอาจจะคิดช้าไปหน่อยแต่ก็ไม่สายเกินไปคือจะนำเอาพระทั้งสามองค์เข้าโบสถ์ทุกครั้งเวลาสวดมนต์ทำวัตรเช้าและเย็น ที่เลือกสามองค์นี้มีเหตุผลนิดหน่อยอย่างพระรอดอาตมาก็ห้อยขอมานานเพราะโยมแม่ให้มานานมากแล้ว หลวงปู่แดงมีคนทักว่าอาตมาต้องมีติดตัว พระสิวลีมีพุทธคุณเรื่องโชคลาภไปไหนไม่อดอยาก
** ติดเอาไว้ตั้งแต่คราวที่แล้วโน้นเกี่ยวกับการศึกษาของพระ อาตมาจะขอเกริ่นอีกนิดหน่อยแล้วจะเจาะเข้าเรื่องเลย การศึกษาของพระหลักๆแล้วมีอยุ่ด้วยกันสามเรื่องคือนักธรรมตรี โท และเอก อันนี้เรียนเฉพาะช่วงเข้าพรรษา ภาษาบาลีหรือที่เราเรียกว่าเปรียญเรียนทั้งปีมีทั้งหมด ๙ ระดับ และสุดท้ายที่จะพูดถึงวันนี้คืออภิธรรมก็มีทั้งหมด ๙ ระดับด้วยกัน
พระไตรปิฎกที่เรารู้จักกันแบ่งออกเป็นสามหมวดคือ พระวินัย พระสูตรและพระอภิธรรม ทั้งสามหมวดรวมกันแล้วได้ทั้งหมด ๔๕ เล่ม ๒๒,๐๐๐ กว่าหน้า มีธรรมะนับได้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์หรือเรื่องหรือบท สาเหตุที่มี ๔๕ เล่มเพื่อหมายถึงระยะเวลา ๔๕ พรรษาที่ทรงเผยแพร่พุทธศาสนา
พระวินัย เป็นเรื่องบทบัญญัติและข้อบังคับในการปฏิบัติตัวของพระสงฆ์หรือผุ้ออกบวช ถ้าจะให้เข้าใจง่ายก็คือกฎหมายพระนั้นเอง ซึ่งก็คือศีล ๒๒๗ ข้อ เอาไว้โอกาสหน้าจะมาอธิบายเรื่องศีลกันโยมจะได้มีความรุ้เข้าใจเกี่ยวกับศีลของพระ เพราะอาตมาคิดว่าโดยส่วนมากเรารุ้แค่ว่าพระถือศีล ๒๒๗ ข้อ แต่ไม่ทราบว่ามีอะไรบ้าง
พระสูตร เป็นเรื่องเกี่ยวกับธรรมเทศนา หรือธรรมบรรยายต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้เหมาะสมแก่บุคคล เหตุการณ์ และโอกาส รวมถึงพระธรรมเทศนาของพระสาวกและพระสาวิกาที่กล่าวตามแนวพระพุทธพจน์
พระอภิธรรม เป็นธรรมมะที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไปตามเนื้อหา ไม่เกี่ยวกับบุคคลหรือเหตุการณ์ใดๆทั้งสิ้น เรียกว่าเป็นวิชาการล้วนๆ อาทิ เรื่องขันธ์ ๕ ก็จะอธิบายโดยละเอียดว่าขันธ์ ๕ คืออะไร แบ่งออกเป็นอะไรได้บ้าง แต่ละอย่างนั้นเป็นอย่างไร
สำหรับหลักสูตรการศึกษาพระอภิธรรม สามารถแบ่งออกได้สามระดับคือจูฬ มัชฌิม และ มหา ในแต่ละระดับแบ่งย่อยออกอีกสามระดับคือตรี โท และเอก ซึ่งใช้เวลาในการเรียนต่างกันดังนี้
ชั้นที่ ๑ จูฬอาภิธรรมิกะตรี ( ใช้เวลา ๖ เดือน )
ชั้นที่ ๒ จูฬอภิธรรมิกะโท ( ใช้เวลา ๖ เดือน )
ชั้นที่ ๓ จูฬอภิธรรมิกะเอก ( ใช้เวลา ๖ เดือน )
ชั้นที่ ๔ มัชฌิมอาภิธรรมิกะตรี ( ใช้เวลา ๑๒ เดือน )
ชั้นที่ ๕ มัชฌิมอาภิธรรมิกะโท ( ใช้เวลา ๑๒ เดือน )
ชั้นที่ ๖ มัชฌิมอาภิธรรมิกะเอก ( ใช้เวลา ๑๒ เดือน ) จบระดับนี้เทียบเท่าการศึกษาระดับม. ๖
ชั้นที่ ๗ มหาอภิธรรมิกะตรี ( ใช้เวลา ๑๒ เดือน )
ชั้นที่ ๘ มหาอภิธรรมิกะโท ( ใช้เวลา ๑๒ เดือน )
ชั้นที่ ๙ มหาอภิธรรมิกะเอก ( ใช้เวลา ๑๒ เดือน ) ผุ้จบการศึกษาในชั้นสูงสุดเทียบเท่าปริญญาตรีในทางโลก สามารถศึกษาต่อระดับปริญญาโท ในหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้
เพราะฉะนั้นตั้งแต่ชั้นที่ ๑ – ชั้นที่ ๙ ใช้เวลาทั้งสิ้น ๗ ปีกับอีก ๖ เดือน ถือว่าใช้เวลาพอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งพระสัทธัมมโชติกเถระ ธัมมาจริยะ พระเถระระดับบัณฑิตผุ้มีความแตกฉานในพุทธศาสนาจากประเทศพม่าเป็นผุ้จัดทำหลักสูตรเอาไว้ อีกอย่างทางพม่าเขาเก่งทางด้านนี้
สำหรับผู้สนใจสามารถเข้าไปดุรายละเอียดได้ที่ http://www.buddhism-online.org/ หรือ e-mail: elearn@mcu.ac.th เขาเปิดสอนสำหรับบุคคลทั่วไปด้วยนะโยม
สาธุ
๒๑. ๓๐ น. วัดสุวรรณประสิทธิ์
ปล. บันทึกฉบับนี้อาจจะจริงจังไปสักหน่อยถือสะว่า “ รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม ” นะโยม