"นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่"
จำไม่ได้แล้วว่าอ่านจากหนังสือเล่มไหนทำให้ไม่สามารถอ้างอิงแหล่งที่มาได้ ต้องขอโทษเป็นอย่างยิ่ง
เรื่องนี้ผมคัดย่อและเก็บเอาไว้อ่านเอง ตามบันทึกก็คือวันที่ 3 กันยายน พ.ศ.2554 ถือได้ว่าเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่น่าสนใจสำหรับเชียงใหม่ อดีตเมืองหลวงแห่งอาณาจักรล้านนา ขอเชิญเสพความสุขจากการอ่านได้เลยขอรับ \\((^__^))//
มีโอกาสคราวหน้าผมจะพยายามเดินถ่ายรูปประตูเมืองและแจ่งทั้งหมดมาฝาก...
|
ภาพ : อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ เมืองเชียงใหม่ |
ตามหลักศิลาจารึกวัดเชียงมั่น ระบุวันเวลาที่สร้างเมืองเชียงใหม่ว่า
"ตรงกับวันที่ 12 เมษายน ค.ศ.1293 เวลาประมาณ 04.45 น."
เริ่มจากขุดคูน้ำกว้าง 9 วา หรือ 18 เมตร ถมดินเป็นแนวกำแพง ขุดจากมุมเมืองทางด้าน"ตะวันออก (แจ่งศรีภูมิ)" อันเป็นทิศมงคล แล้วก่ออิฐขนาบทั้งสองข้าง
ข้างบนกำแพงปูอิฐแล้วทำเสมาบนกำแพงทั้งสี่ด้าน กว้าง 900 วา (1,800 เมตร) ยาว 1,000 วา (2,000 เมตร) พร้อมกับสร้างราชมณเฑียรและตั้งตลาด
รวมเวลาในการสร้างเมือง 4 เดือนเต็ม
ว่ากันว่า
"ทรงสร้างกำแพงเมืองแข็งแรงยิ่ง ก่อด้วยหินแข็ง สูงใหญ่ ทรงสร้างป้อม หอรบ เหมือนชะลอวิมานลงมา
คูเมืองลึก และกว้างขวางเป็นที่น่าขยาด มีน้ำเต็มอยู่ตลอดเวลา ดอกบัวบานส่งกลิ่นหอมขจรไป มีงู เงือก จระเข้ ระเกะระกะเฝ้ารักษาเวียงไว้"
ประตูเมือง กำแพงเมือง แจ่ง และคูเมือง คือปราการที่สร้างขึ้นสำหรับปกป้องเมืองสมัยพญามังราย โปรดให้สร้าง
"ประตูเมืองกว้าง 4 วา (8เมตร)" ไว้ทั้งสี่ด้านของกำแพงเมือง เคยบูรณะ "ซ่อมแซม" ในสมัยพระเจ้ากาวิละและ "สร้างเสริม"อีกครั้งในค.ศ.1966 - 1969
ประตูเชียงใหม่ (อยู่ทางทิศใต้)
เดิมเรียกว่าประตู"ท้ายเมือง" เป็นประตูนามเมือง "ห้าม"น้ำศพออกทางประตูนี้ เพราะถือเป็นกาลกิณี
เดิมเป็นเส้นทางที่เป็นทางออกสู่ลำพูน
มีเทวบุตรชื่อ "เชยยภูมโม" เป็นผู้รักษาประตู
ประตูช้างเผือก (อยุ่ทางทิศเหนือ)
เดิมเรียกว่าประตู "หัวเมือง" เพราะถือว่าเป็นหัวของเชียงใหม่
พิธิีราชาภิเษกกษัตริย์เชียงใหม่สมัยโบราณจะเสด็จเข้าทางประตูช้างเผือก
สมัยพญาแสนเมืองมา ได้สร้างอนุสาวรีย์ช้างเผือกสองเชือกขึ้นทางทิศเหนือของประตู ด้านใต้ชื่อ"ปราบจักรวาล" ด้านเหนือชื่อ"ปราบเมืองมารเมืองยักษ์" ช้างทั้งสองถือเป็นมิ่งมงคลทางเชียงใหม่และเป็นที่มาของชื่อ"ประตูช้างเผือก"
มีเทวบุตรชื่อ "คันะรักขิโต"
ประตูท่าแพ (อยูทางทิศตะวันออก)
เป็นประตูออกสู่แม่น้ำปิง
เดิมเรียก "ประตูเชียงเรือก" เพราะอยู่ใกล้หมู่บ้านเชียงเรือก ต่อมาเรียก "ประตูท่าแพ" สันนิษฐานว่าคงเป็นประตูระบายออกเพื่อทำการค้ากับหัวเมืองริมแม่น้ำ
มีเทวบุตรชื่อ "สุรักขิโต"
ประตูสวนดอก (อยู่ทางทิศตะวันตก)
เพราะถือว่าเป็นประตูที่ผ่านไปยัง"สวนดอกไม้"ของพระเจ้ากือนาธรรมิกราช
ต่อมาโปรดให้สร้งพระอารามหลวงขึ้นในบริเวณสวนดอกไม้ เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ เรียกว่า "วัดสวนดอก"
มีเทวบุตรชื่อ "สุรชาโต"
**ภายหลังสร้างขึ้นอีกสองประตูคือ**
1.ประตูสวนปรุง
อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
ใช้สำหรับเอาศพออกไปยังสุสายหายยา
เป็นประตูที่เจาะขึ้นใหม่ราวปี ค.ศ.1411 -1442 สมัยพญาสามฝั่งแกน เพื่อให้พระมารดาเสด็จเข้าออกได้สะดวก เนื่องจากมีพระตำหนักอยู่ที่ "ตำบลสวนแร" ซึ่งอยู่นอกกำแพงเมือง ต่อมาเรียก "สวนปรุง"
2.ประตูช้างม่อย
เดิมเรียก "ประตูศรีภูมิ"
สร้างในสมัยพญาติโกลราช ระว่างปีค.ศ.1442 - 1487 ทรงให้เจาะกำแพงเมืองเป็นช่องประตูเพราะทรงสร้างพระตำหนักอีกแห่งหนึ่งขึ้นใกล้ๆ ต่อมาเรียกว่า "ประตูช้างม่อย"
ปัจจุบันประตูด้านนี้ไม่มีแล้ว
ป้อมมุมเมือง 4 ป้อมนั้นได้แก่
1.แจ่งศรีภูมิ
เดิมเรียก "แจ่งสรีภูม" หมายถึงศรีแห่งเมือง ถือเป็นจุดแรกเริ่มของการสร้างเมืองเชียงใหม่
2.แจ่งหัวลิน
หมายถึงจุดเริ่มต้นของการรับน้ำจากห้วยแก้วด้วยการผ่านรางนั้น(ลิน)
ถือว่าเป็นภูมิปัญญาของระบบน้ำประปาแบบโบราณ น้ำที่ส่งมาหล่อเลี้ยงคูเวียงโดยรอบ อีกทั้งนำมาใช้ในเมืองด้วย
3.แจ่งกูเรือง
เดิมเรียก "กู่เฮือง" หมายถึงที่บรรจุอัฐิของหมื่นเรือง ซึ่งเป็นผุ้คุมขุนเครือ โอรสพญามังรายไว้ในเรือนขัง ณ บ้านของหมื่นเรือง
4.แจ่งกะต๊ำ
เดิมบริณนี้เป็นที่ลุ่่ม
คลองส่งน้ำจากแจ่งหัวลินมาสิ้นสุดที่นี้
คงมีสภาพเป็นหนองปลาชุกชุม คำว่า "กะต๊ำ" เป็นเครื่องมือดักสัตว์ชนิดหนึ่ง
**ด้วยความที่มีคูเวียงล้อมรอบ ประตูเมืองทั้ง 6 จุด เดิมไม่มีทางติดต่อกับภายนอกกำแพง "การข้าม"คูเวียงต้องอาศัย"สะพานเรือก"ที่ทำด้วยไม้ไผ่ปูทับคานข้าม
ประตูเมืองจะเปิดตั้งแต่ย่ำรุ่งและปิดในเวลาย่ำค่ำเท่านั้น***
เวลา 22. 40 น.
วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ.2556
ผมเอง...PattyFromTheBlock