เก็บมาเล่า สอยมาฝาก ตอนมองสามก๊กสะท้อนการบริหาร

"มองสามก๊กสะท้อนการบริหาร" ถ้าเป็นคุณ...คุณจะปฏิบัติต่อกำเหลงอย่างไร?? ลองอ่านเรื่องด้านล่างแล้วค่อยพิจารณา เชิญขอร้บ!!!



"กำเหลง แห่งสามก๊ก"

คุมสมัครพรรคพวกแผ่อำนาจอยู่ตามท้องน้ำ สมัครพรรคพวกล้วนผูกด้วยลูกกระพรวนรอบเอว ไปไหนใครได้ยินเสียงก็กลัว

เคยปล้นเอาแพรเมืองเสฉวน มาทำเรือใบเที่ยวปล้นสะดมเรือแพรต่างๆในแม่น้ำ ใครๆจึงเรียกโจรก๊กนี้ว่า"สลัดใบแพร"

ต่อมากำเหลงสำนึกผิด กลับใจได้จึงพาสมัครพรรคพวกไปเข้าด้วยเล่าเปียว แต่เห็นเล่าเปียวปกครองบ้านเมืองให้เรียบร้อยไม่ได้ จึงคิดจะมาสวามิภักดิืกับฝ่าย"ซุนกวน" แต่ถูก"หองจอ"เอาตัวตัดหน้าไว้ให้รักษาปากน้ำเมืองกังแฮ เมื่อครั้งที่ฝ่ายเรา(ซุนกวน)ยกไปปราบหองจอนั้น หองจอได้กำลัง"กำเหลง"เข้าช่วย จึงสามารถยึดปากน้ำ"เมืองกังแฮ"กลับคืนไปได้

แต่หองจอ"ก็มิได้ปูนบำเหน็จความชอบให้กำเหลงถึงขนาด" 

โชหุยนายทหารผู้รักษาเมืองของหองจอ พูดจอขอร้องให้หองจอเอาใจเลี้ยงดูกำเหลง
หองจอกลับบอกโชหุย "กำเหลงเคยเป็นโจรสลัด ปล้นสะดมอยู่ตามลำแม่น้ำ จะไปยกย่องอะไรหนักหนา" 

กำเหลงทราบความก็เสียใจ เคียดแค้น"หองจอ"เป็นอย่างยิ่ง

เก็บมาเล่า สอยมาฝาก ซีรีย์หมู่บ้านขุนข่างเคี่ยนตอนสุดท้าย

"บนถนน..บนเส้นทางสู่ หมู่บ้านม้งขาว ขุนช่างเคียน"

ถนนหนทางเริ่มต้นจากวัดพระธาตุดอยสุเทพ ปลายทางคือโรงเรียนศรีเนห์รู หมู่บ้านขุนช่างเคี่ยน จ.เชียงใหม่

การเดินทางครั้งนี้ใช้บริการ"รถเจ้าถิ่น"กะบะวีโก้สี่ประตู ระยะทางจากวัดพระธาตุดอยสุเทพ - โรงเรียนศรีเนห์รูประมาณ 12 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง 

สภาพถนนก็อย่างที่เห็นในรูปเริ่มจากถนนกว้างใหญ่ขับสบาย แล้วค่อยๆเล็กลง ค่อยๆเปลี่ยนสภาพไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็เป็นทางลูกรัง สรุปคือถนน 4 แบบ 4 อารมณ์




ช่วงที่ตื่นเต้นก็คือถนนเหลือเลนเดียว ถ้ามีรถสวนมาก็ต้องจอดกันทั้งสองคันและต้องมีคันใดคันหนึ่งหลบหรือถอยเพื่อให้อีกคันไปได้

แนะนำนะฮะ! อย่าคิดซ่าส์ขับรถขึ้นไปเอง เพราะไม่รับรองความปลอดภัยด้วยประการทั้งปวงนะจ๊ะ

ขอบคุณ พี่ Aor Arunee Sukhamchan "นางฟ้าเชียงใหม่" (อีกคน) ที่ให้ข้อมูลสำหรับการเดินทางและคำแนะนำดีๆ

เก็บมาเล่า สอยมาฝาก ตอนที่สอง"จิบกาแฟยอดดอย"

"จิบกาแฟร้อนๆ...กับอากาศบริสุทธิ์ บนระดับความสูงประมาณ 1,300 เมตร"

หลังจากที่เดินทางด้วยรถกะบะวีโก้เพื่อมาเยี่ยมชมหมู่บ้าน"ม้งขาว"ขุนช่างเคี่ยนและ"โรงเรียนศรีเนห์รู"เป็นที่เรียบร้อย ก่อนกลับก็แวะจิบกาแฟสดจากไร่เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์บนความสูงประมาณ 1,300 เมตรจากระดับน้ำทะเลสักหน่อ

ร้านกาแฟเล็กๆอยู่ก่อนถึงตัวหมู่บ้านสามารถแวะได้ทั้งขาไปและขากลับ กาแฟทีนี้เขาปลูกเองนะฮะ เป็นสายพันธุ์อะราบริก้า ของ
คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อยู่ในโครงการเกษตรที่สูง

ผมเพิ่งจะสังเกตระหว่างที่นั่งรถกลับลงมา ไร่กาแฟเต็มไปหมดเลย!

กาแฟที่บริการก็ไม่มีให้เลือกมากมาย ไม่มีเอสเพรสโซ่ ไม่มีลาเต้ ไม่มีกาแฟเย็น ที่นี้ขายอย่างเดียวคือ"กาแฟร้อน" ราคาเดียวคือ 30 บาท เสริฟพร้อมขนมปังอร่อยๆสามชิ้น



อุปกรณ์การชงก็ไม่ได้ใช้เครื่องชงราคาแพงระดับหมื่นหรือระดับแสนที่เราเห็นตามร้านกาแฟทั่วไป แต่เป็นเครื่องชงกาแฟธรรมดาราคาหลักร้อยเท่านั้น


สั่งไปสามแก้ว พี่คนขายก็ตักผงกาแฟใส่เครืองทำกาแฟ ตามด้วยน้ำร้อน บีบอัดน้ำกาแฟด้วยพลังงานมือ เทใส่แก้วสามแก้ว แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้ว! ส่วนใครอยากจะได้น้ำตาลก็เติมตามใจชอบ ใครอยากได้นมร้อนๆใส่กาแฟก็มีเนยเทียมให้ ง่ายๆแค่นี้แหละ!

ทุกอย่างดูเรียบง่ายเข้ากับบรรยากาสและทิวทัศน์ที่สวยงามโดยรอบ กลิ่นกาแฟสดที่หอมจากแก้วเข้ามาปะทะกับลมหายใจ..เย้ายวนใจยิ่งนัก!!

ร้านกาแฟทีนี้เปิดบริการทุกวันหลังเคารพธงชาติตอนเช้า และปิดบริการหลังเพลงชาติตอนเย็น

ใครมีโอกาสก็ขอเชิญแวะชิมได้นะครับ หรือสนใจอยากจะซื้อกาแฟกลับบ้านก็มีขายทั้งแบบเม็ดและแบบผง ราคาเพียง 200 บาทเท่านั้น!!

(ภาพ) ร้านกาแฟสดและอุปกรณ์การชงกาแฟ ถ่ายเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ.255

เก็บมาเล่า สอยมาฝาก ตอนโรงเรียนของหนู บ้านขุนช่างเคี่ยน (ตอนที่1)


เย็นวันที่ 3 กันยายน หลังจากส่งลูกค้าเข้าที่พัก ณ โรงแรมริมปิง เชียงใหม่เป็นที่เรียบร้อย ผมก็รบกวนน้าศรช่วยขับรถมาส่งผมที่แม๊คโครเพื่อจะซื้อของให้เด็กนักเรียน"โรงเรียนศรีเนห์รู" หมู่บ้านขุนช่างเคี่ยนสักเล็กน้อย

น้าศรมาส่งผมที่แม๊คโคร เชียงใหม่ ผมหายไปประมาณเกือบชั่วโมงได้ของมาพอสมควรสองถุงแม๊คโครใหญ่ๆ โยนของเข้าท้ายรถ แล้วก็ขับรถไปที่พักกันดีกว่า ค่ำนี้ที่เชียงใหม่ผมนอนที่"บ้านหน้อยนอนม่วน"

เช้าวันที่ 4 กันยายน เชียงใหม่ชุ่มฉ่ำไปด้วยฝนตั้งแต่เมื่อคืน คาดหมายว่าบรรยากาศบนภูเขาเหนือดอยสุเทพคงจะไม่แตกต่างกันหรืออาจจะหนักกว่า เช้าวันนี้ผมได้กาแฟร้อนเข้มๆหนึ่งแก้วสร้างพลังให้กับตัวเอง ตามด้วยโจ๊กหมูฝีมือคุณป้า"บ้านหน้อยนอนม่วน" พร้อมออกเดินทาง

ตามกำหนดการคือเช้าวันนี้ออกเดินทางจากโรงแรมริมปิง เชียงใหม่ เวลาประมาณ 07.30 น. ขับรถขึ้นไปเที่ยวและเยี่ยมชมวัดพระธาตุดอยสุเทพก่อน หลังจากนั้นจึงจะเดินทางด้วยรถกะบะวีโก้สีขาวไปโรงเรียนศรีเนห์รู หมู่บ้านขุนช่างเคี่ยน

เวลา 09.30 น. โดยประมาณ ผมและลูกค้าเดินลงมาจากบันไดนาควัดพระธาตุดอยสุเทพ (ขาไปนั่งเคเบิ้ล) เพื่อมายังจุดนัดหมาย....รถกะบะพร้อมคนขับคือพี่อุ๊พร้อมเรียบร้อย!! ก่อนออกเดินทางต้องแวะไปเอาของที่รถก่อนนะจ๊ะ

ระยะจากวัดพระธาตุดอยสุเทพสู่เป้าหมายของเราคือหมุ่บ้าน"ม้งขาว"ขุนช่างเคี่ยน ประมาณ 12 ก.ม. ผ่านลานจอดเฮลิคอปเตอร์ พระทีนั่งภูพิงค์ หมู่บ้านม้งดอยปุย ลานกางเต็นท์อุทยานฯดอยปุย-ดอยสุเทพ ร้านกาแฟโครงการเกษตรบนทีสูง ด้วยความชำนาญของพี่อุ๊คนขับรถเราใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที ในที่สุดเราก็มาถึงเป้าหมาย!!

ต้องบอกก่อนเลยว่าใครที่คิดจะขับรถมาที่หมู่บ้านนี้เอง ขอห้ามเด็ดขาด! ให้ใช้บริการรถในพื้นที่ดีที่สุดคือบริเวณวัดพระธาตุดอยสุเทพนั้นแหละครับ คิวรถมีเพียบ!

สภาพถนนจะค่อยๆเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนเหลือถนนเลนเดียวให้วิ่ง คิดเอาเองละกันว่าขับรถขึ้นมาเองมันจะเสียงแค่ไหน ขับไปอีกจนเกือบจะถึงหมู่บ้านก็จะเปลี่ยนเป็นทางลูกร้งเลนเดียว!!! อย่าลืมนะฮะว่าเราขับรถขึ้นภูเขาและไต่ความสูงตลอดเวลา บางช่วงสูงถึง1,500เมตร แต่ตัวหมู่บ้านประมาณ 1,200 - 1,300 เมตร จากระดับน้ำทะเล

รถกะบะจอดนิ่งๆบนลานปูน ผู้โดยสารสามคนจากด้านหลังกระโดดลงมาจากท้ายกะบะ แล้วเดินมาเปิดประตูหน้ารถเพื่อเอาของไปให้เด็กๆ ไม่สิต้องบอกว่าไปให้คุณครู!!



ลานปูนที่รถจอดเป็นลานกว้างที่เด็กในโรงเรียนศรีเนห์รูจำนวน 130 คนจะมายืนเคารพธงชาติในตอนเช้านั้นเอง!

โรงเรียนแห่งนี้มีนักเรียนทั้งสิ้น 130 คน เปิดสอนระดับอนุบาลและระดับประถมศึกษา แต่ละชั้นมีหนึ่งห้องเท่านั้น นั้นคือป.1-ป.6 รวมทั้งอนุบาลด้วย ส่วนคุณครูที่ดูแลนักเรียนทั้งหมดก็ 13 ท่าน

นักเรียนที่นี้เป็นเด็กมาจากหมู่บ้านและเป็นม้งขาวหมดเลย บางคนใส่ชุดนักเรียน บางคนใส่เสื้อประจำเผ่าตัวเอง ทุกคนมีหมายเลขประจำตัวพร้อมทั้ชื่อและนามสกุลเป็นภาษาไทย เนื่องด้วยคุณครูมีน้อยไม่เพียงพอกับจำนวนนักเรียนและชั้นเรียน เท่าที่ผมสังเกตุแต่ละห้องเรียนจะไม่มีคุณครูประจำอยู่ทุกห้อง แต่เด็กๆก็ก้มหน้าก้มตาทำการบ้านหรือทำแบบฝึกหัดที่คุณครูให้ไว้

บางส่วนฝึกงานฝีมือกับคุณครูเพื่อเตรียมตัวเข้าประกวด โรงเรียนแห่งมีฝึกวิชาชีพให้เด็กด้วย!

เดินสำรวจโรงเรียนมีทั้งห้องพักครู ห้องปฐมพยาบาล ห้องคอมพิวเตอร์ ห้องครัวและโรงอาหาร ที่นี้มีโครงการอาหารกลางวันฟรีสำหรับเด็กนักเรียน ดีจัง!ไปคราวหน้าถ้าได้รถตู้จะได้ซื้อข้าวสารไปสักกระสอบให้เด็กๆ

เกือบลืมไป! ของที่ผมซื้อให้เด็กๆก็มี สมุด ปากกา ดินสอ ที่เหลาดินสอ ยางลบ ไม้บรรทัด สีเทียน สมุดวาดรูป กาแฟดาว(ฝากคุณครูที่น่ารัก)

ไม่ได้ซื้อขนมหรือของกิน เพราะคิดว่าถ้าซื้อไปก็ต้องแจกให้ครบทุกคน ไม่งั้นเด็กๆทะเลาะกันตาย! ก็เลยซื้อเพียงอุปกรณ์เครื่องเขียนอย่างเดียว

เดินถือถุงแม๊คโครพร้อมกับถามเด็กนักเรียนว่า "ห้องพักครูอยู่ไหนจ๊ะ" เด็กๆก็น่ารัก เจอผู้ใหญ่ยกมือสวัสดีทักทาย

ผมและลูกค้าเดินเข้ามาในห้องพักครูพร้อมบอกวัตถุประสงค์ รวมทั้งสิ่งของที่ซื้อมาให้เด็กๆ คุณครูกล่าวขอบคุณแทนเด็กๆเช่นกัน ช่วงที่เอาของจากถุงมาวางจัดเรียงบนโต๊ะเพื่อให้คุณครูและเด็กๆได้เห็นว่าเราซื้ออะไรมากันบ้าง ก็ได้ยินเสียงเด็กๆส่งเสียงตื่นเต็นกันใหญ่เลย

ของที่ซื้อมาทั้งหมดผมก็มอบให้คุณครูจัดการตามความเหมาะสม น่าจะดีที่สุด! ทุกอย่างเรียบร้อยและเรียบง่ายที่สุด ไม่ต้องมีพิธีอะไรมากมาย ไม่ต้องมีครูใหญ่มายืนกล่าวขอบคุณ ไม่ต้องมีเด็กๆมายืนเพื่อร้ับมอบของ ไม่มีการถ่ายรูป เพราะผมคิดว่าพิธีการเหล่านี้จะเป็นการรบกวนการเรียนการสอนของเด็กๆ และคุณครู

ของถึงมือครูก็เหมือนถึงมือเด็ก เป็นอันเสร็จสิ้นภาระกิจในครั้งนี้! ง่ายที่สุดเลย

ขอบคุณข้อมูลการเดินทางโดย พี่อ้อ อรุณี ไกด์นางฟ้า จ.เชียงใหม่
ขอบคุณข้อมูลโรงเรียนโดย ตุ๊ก ไกด์ภาษาฝรั่งเศส
ขอบคุณน้าศร ที่อำนวยความสะดวกพาไปซื้อของ
ขอบคุณคุณครูทุกท่านที่โรงเรียนศรีเนห์รู บ้านขุนช่างเคียน จ.เชียงใหม่


เก็บมาเล่า สอยมาฝาก ตอนเปลี่ยนแปลง

หลังจากที่ห่างหายจากการเดินทางขึ้นมาเชียงรายและสามเหลี่ยมทองคำมาเกือบปี มารอบนี้พบว่า"ถนนสายสามเหลี่ยมทองคำ-แม่สาย" เสร็จเรียบร้อย! ถนนดีมาก เดินทางสะดวกสบาย

อีกเส้นคือจาก"แยกแม่จัน-เชียงแสน" ถนนยังไม่เสร็จเรียบร้อย ช่วงมุ่งหน้าเข้าเชียงแสนถนนเป็น"ลูกรังสีแดงอัดแน่น" อันตรายมาก! ถ้าฝนตก เพราะพื้นถนนมันแผล่บ ถนนจะลื่น ไม่สามารถควบคุมทิศทางได้ รถมีโอกาสไถลลงข้างทาง คิดจะเบรคก็คงไม่ได้เช่นกัน ถ้าใครมาเส้นทางนี้ช่วงหน้าฝนก็ขับด้วยความระมัดระวังอย่างสูง!

อันนี้พูดจากประสบการณ์ตรงที่เคยประสบอุบัติเหตุรถไถลลงข้างทางมาแล้ว สภาพถนนใกล้เคียงกัน เห็นถนนแล้วมองเห็นอนาคตทันทีถ้าฝนตก แต่เป็นที่เมืองกาญจนบุรี"เส้นทางขึ้นถ้ำพระธาตุ" จึงเตือนให้พี่ๆน้องๆรับทราบ




ส่วนเกาะดอนเส้า ประเทศลาว ค่าธรรมเนียมเหยียบแผ่นเพิ่ม"จาก 20 บาท เป็น 30 บาท" ทราบข่าวว่าก่อนหน้านี้ปิดไประยะหนึ่ง ทำให้ไม่สามารถข้ามไปเที่ยวได้ คาดว่ามีปัญหาเรื่องผลประโยชน์ แต่ก็คงมีการเคลียร์เป็นที่เรียบร้อยระหว่างหน่วยงานประเทศลาวและหน่วยงานประเทศไทย!

หลังจากกลับมาเปิดบริการตามปกติ ค่าธรรมเนียมเหยียบแผ่นดินเพิ่มขึ้น! เป็น 30 บาท มีการคาดเดาและสงสัยว่า"เงินที่เก็บเพิ่ม10บาท" มันไปไหน ผมก็ดันลืมถามที่ฝั่งประเทศลาวด้วยสิว่าทำไมเก็บเพิ่มสิบบาท! ใครรู้ช่วยบอกหน่อยนะคร้าบบ

ยิ่งไปกว่านี้ที่ด่านเก็บค่าเหยียบแผ่นดิน เกาะดอนเส้า เมื่อก่อนเป็นจนท.ลาวนั่งประจำการสองคนในซุ้มไม้ไผ่ธรรมดา แต่วันนี้ที่เห็นคือ"จนท.ประเทศลาวหนึ่งคนและมีสาวจีนนั่งอีกคน" ส่วนซุ้มไม้ไผ่หายไป เปลี่ยนเป็นอาคารหลังเล็กๆสี่ขาว

อีกสิ่งที่เห็นการเปลี่ยนแปลงคือ"เสาไฟฟ้าขนาดใหญ่" ข้ามลำน้ำของไปยังเกาะดอนเส้า ไม่แน่ใจว่าเราซื้อไฟฟ้าจากลาว หรือลาวซื้อไฟฟ้าจากเรา อันนี้ไม่ได้ถามมาเพราะว่าลืมอีกเช่นกัน

เสียดายจริงๆ รอบนี้มีเวลาอยู่สามเหลี่ยมทองคำเพียงคืนเดียว....แล้วพบกันใหม่!

5 กันยายน พ.ศ.2555
สนามบินเชียงราย ประเทศไทย


(ภาพ) อาณาจักรคิงส์ โรมัน , ร้านค้าบนเกาะดอนเส้าหรือดอนซาว , ศาลาริมน้ำของ อาคารหลังใหม่สำหรับเก็บค่าเหยียบแผ่นดิน และถนนที่มาพร้อมกับรถวิ่งบนเกาะ

หมายเหตุ : ฝั่งเกาะเขาทำลงหิน เทปูนป้องกันดินสไลด์หรือถล่มจากน้ำกัดเซาะ แต่ฝั่งประเทศไทยไม่ได้ทำอะ!