บันทึกฐานยุตโต: ครบรอบหนึ่งเดือนหลังจากสึก

๑๖ พ.ย. ๒๕๕๒
วันนี้ก็เป็นวันครบรอบหนึ่งเดือนหลังจากที่ลาสิกขาไปเมื่อ 16 ต.ค. ๒๕๕๒ เวลาประมาณห้าโมงครึ่งตอนเย็น ณ สำนักสงฆ์คลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร วันนี้ก็ว่างจากการทำงานพอดีเมื่อเช้าก็ไปเป็นเด๊กวัดเดินตามพระอาจารย์ไพบูยล์ช่วยหิ้วอาหารคาว อาหารแห้ง ผลใม้และของหวานที่ญาติโยมตักใส่บาตร โดยย้ายเอามาใส่ในถุงพลาสติกใบใหญ่หลังจากนั้นก็เอาไปรวมกองเอาไว้ที่บ้านป้าพวงเพื่อมอเตอร์ไซด์นำส่งทีวัดอีกครั้ง สำหรับผมก็ยังเดินตามพระอาจารย์กลับมาที่วัดเหมือนเดิม เสร็จจากตรงนี้ก็ขึ้นไปที่ตึกวิปัสสนาชั้นสามเพื่อไปนั่งคุย นั่งจิบกาแฟ บางครั้งก็มีขนมปัง ข้าวเหนียว อาหารคาวและอาหารแห้งที่หลวงพี่ท่านให้มาอีกที
ก็เป็นเดีกวัดมาตลอดตั้งแต่สักออกมา...
วันที่ ๑๖ ตค.หลังจากสึกก็มุ่งหน้าจากกำแพงเพชรกลับมาที่วัด ณ กรุงเทพมหานคร ถึงวัดประมาณเกือบเที่ยงคืน ผมนอนค้างที่วัดหนึ่งคืน เช้าวันรุ่งนี้ประมาณตีห้าสี่สิบก็ไปรอพระอาจารย์เพื่อเป็นเด๊กวัด รวมทั้งเป็นเด๊กวัดและถือโอกาสลาญาติโยมที่ใส่บาตรผมเมื่อตอนที่บวช เมื่อเสร็จจากตรงนั้นผมก็เดินกลับบ้านถือเป็นการกลับเข้าบ้านครั้งแรกหลังจากที่สึกและนอนวัดหนึ่งคืน สิ่งหนึ่งที่ทำคือกราบเท้าพระอรหันต์คือแม่สามครั้ง.....ซึ้งอ่ะดิ
ผมตั้งใจเอาไว้แล้วละว่าสึกออกมาก็จะมาเป็นเด๊กวัดช่วยพระอาจารย์ไพบุลย์ทุกเช้า วันจันทร์ - ศุกร์ เดินกลับวัดพร้อมพระอาจารย์ ยกเว้นเสาร์และอาทิตย์ที่จะมีคุณน้าแถวบ้านขับรถไปส่งพระอาจารย์ที่วัด ผมก็เดินกลับบ้าน
หลังจากสึกผมยังไม่ทำงาน ยังไม่รับงาน ขอเป็นเด็กวัดทุกวัน โดยกลับมาเริ่มทำงานชุดแรกเมื่อวันที่ ๑ -๓ พ.ย. ที่ผ่านมา ชุดที่สองก็ระหว่างวันที่ ๑๐ - ๑๕,๑๘ - ๒๒ และ ๒๕ พย. ชุดที่สามปลายเดือนพอดีคือ ๓๐ พย. - ๒ ธค. เป็นความตั้งใจขอตัวเองถึงแม้ว่าจะทำงานแล้วแต่ถ้าวันไหนว่างก็จะมาเป็นเด๊กวัดตามเดิม ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องเป็นถึงเมื่อไหร่ ทำไปเรื่อยๆๆ อยุ่กับพระอาจารย์ อยุ่ใกล้วัด เข้าวัดทุกวันตอนเช้ารุ้สึกสบายใจดี ถึงแม้ว่าตั้งแต่สึกออกมายังไม่ได้สวดมนต์อีกเลย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังทำอยู่เสมอคือการนั่งสมาธิ ถ้าไม่ง่วงมากจะนั่งก่อนนอน และตอนเช้าก่อนไปทำงาน
จากศีล ๒๒๗ ข้อที่ถือเป็วัตรปฏิบัติขณะที่บวช ตอนนี้กลับมาเป็นฆราวาสถือเพียงศีล ๕ ตั้งแต่สึกออกมากินของมึนเมาไปอย่างเดียวและครั้งเดียวเท่านั้นคือ
ไวน์แดงหนึ่งแก้วตอนไปงานแต่งงานเพื่อน...แก้วเดียวก็มึนนิดหน่อย
ความรุ้สึกเมื่อตอนที่สึกก็รู้สึกแปลกๆ รู้สึกหวิวๆ รุ้สึกเสียดาย รู้สึกอาลัยอาวรณ์ ช่วงสิบวันสุดท้ายขณะที่ไปปฏิบัติธรรมเพื่อให้ครบสมบูรณ์เรียบร้อยก่อนสึกมันมีความรุ้สึกอยุ่สองอย่างน่ะ...สึก หรือ ไม่สึก สำหรับความรุ้สึกที่ไม่สึกไม่ได้หมายความว่าจะบวชตลอดชีวิตน่ะแต่ยังอยากที่จะอยุ่ในผ้าเหลืองต่อไปอีกสักระยะเพราะมันมีความสบายใจ ไม่มีห่วง เรารู้สึกถึงความเป็นพระมากขึนเมื่อเทียบกับช่วงที่บวชเข้ามาใหม่ๆประมาณเดือนแรกๆ เมื่อได้เรียน ได้ศึกษาจากการเรียนนักธรรมตรีทำให้มีความเข้าใจในพุทธศาสนามากขึ้น ได้เรียนธรรมมะทำให้มุมมองและการเข้าใจชีวิตเปลี่ยนไปหมายถึงเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เรียนวินัยทำให้เข้าใจในศีลของพระทั้ง๒๒๗ข้อ ได้ปฏิบัติสมาธิ วิปัสสนากรรมฐานทำให้จิตใจสงบมากขึ้น ทุกสิ่งอย่างที่เรียนรุ้มาระหว่างการบวชนำมาประยุกต์ปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นควรจะเข้าวัดกันบ้างน่ะไม่จำเป็นต้องมีปัญหาในชีวิตแล้วถึงจะนึกถึงวัด
พุทธศาสนา คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ธรรมมะต่างๆ การปฏิบัติต่างๆ ถ้าอยากได้ต้องปฏิบัติกันเอาเองน่ะ ใช้ความเพียรให้มาก ทำให้สม่ำเสมอ ยิ่งปฏิบัติมากก็จะยิ่งได้กับตัวเอง บุญต้องทำเอง ทำแทนให้กันไม่ได้ การทำบุญมีหลายอย่างไม่ได้มีเพียงทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน หรือไถ่ชีวิตสัตว์ พยายามทำบุญในสิ่งที่เรายังไม่เคยทำบ้างก็จะดี เมื่อจะทำก็ชักชวนคนรอบข้างด้วยก็จะยิ่งดี ขณะทำบุญ..ระหว่างทำบุญ..และหลังทำบุญ ควรจะให้ถึงพร้อมด้วยศรัทธาทั้งกายและใจจึงจะเกิดประโยชน์สุงสุด บุญไม่ได้เกิดจากการอธิษฐานแต่เกิดจากการปฏิบัติ

สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆทุกท่านที่ติดตามอ่านบันทึกมาโดยตลอด หวังว่าบันทึกที่เขียนขึ้นระหว่างการบวชคงจะมีประโยชน์บ้างเพื่อความเข้าใจในพุทธศาสนาที่มากขึ้น ก็ขอฝากเอาไว้นิดหนึ่งว่าไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นจะดี จะไม่ดี แต่ที่สำคัญคือควรพิจารณาตัวเราเอง ดุจิตใจ ดุความรุ้สึกของตัวเองเป็นสำคัญ ทำกิจของเราให้สมบูรณ์เสียก่อนแล้วค่อยไปยุ่งกับกิจของคนอื่น

ขอบพระคุณทุกท่านและขอให้ความสำเร็จ ความเจริญจงมีแก่เพื่อนๆ พี่ๆ ทุกคน
ปฏิรพ ทิพรัตน์ 10. 29 เขียนที่บ้าน

ปล. ก่อนพระพุทธเจ้าจะปรินิพพานท่านตรัสเรื่องความไม่มาทในชีวิต พวกเราก็เช่นกัน
ศีล ๒๒๗ ข้อ หลวงพ่อชาสรุปเหลือเพียง ความละอายและเกรงกลัวต่อบาบ พวกเราก็เช่นกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น