ตอนที่แล้วคัดลอกประวัติวัดพระเจดีย์หลวงเอาไว้พอสังเขป สำหรับตอนนี้ว่าด้วยเรื่ององค์พระเจดีย์หลวงล้วนๆ ทั้งเรื่องโครงสร้างองค์พระเจดีย์ด้านใน บันไดอิฐที่ก่อเรียบ ซุ้มด้านทิศตะวันออกทีมีช่องเปิดเอาไว้นิดเดียว และสาเหตุของการพังทลาย คิดว่าครอบคลุมและให้ความกระจ่างสำหรับข้อสงสัยที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ได้อย่างดี
![]() |
(ภาพที่๑) รูปทรงขององค์พระเจดีย์หลวง เชียงใหม่ |
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาต่อจากตอนที่แล้ว เรามาเริ่มด้วยภาพแรก : ลักษณะรูปทรงขององคืพระเจดีย์หลวงกันเลยดีกว่า
บริเวณด้านหน้าโดยรอบประดับรูปช้างโผล่ออกมาครึ่งตัว ปัจจุบันช้างพังเกือบหมดแล้ว ร่องรอยการประดับช้างรอบฐานนี้นับได้ถึง ๒๘ ตัว
บันไดนาคที่ทอดลงมาจรดพื้นดิน มีนาคเป็นราวบันไดอยู่ทิศละ ๒ ตัว เชิงบันไดด้านล่างทำเป็น"มกร"คาบนาคที่ชูตั้งขึ้นสูง
บันไดมีลักษณะก่ออิฐแบบปูนเรียบ แสดงให้เห็นว่าเจาะจง"มิให้"ใช้ประโยชน์เป็นบันไดทางขึ้น จะมีร่องรอยของบันไดทางขึั้นสู่ระเบียงชั้นบนได้เพียงทางด้านทิศตะวันออกเท่านั้น
ลักษณะรูปทรงทางสถาปัตยกรรมของพระเจดีย์หลวงจากการศึกษาส่วนที่เหลือตั้งแต่ฐานมาถึงมาลัยเถาใต้ระฆัง มีส่วนคล้าย"พระเจดีย์ วัดเชียงมั่น"มากที่สุด เพราะลักษณะรูปทรงของพระเจดีย์หลวงเป็นเจดีย์ช้างล้อมใกล้เคียงกับแบบแผนของพระเจดีย์เชียงมั่น รวมทั้งเปรียบเทียบประวัติการก่อสร้างก็มีระยะเวลาที่ใกล้เคียง คือเจดีย์วัดเชียงมั่น ได้รับการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยพระเจ้าติโลกราช
![]() |
(ภาพที่ ๒) แผนผังแสดงอุโมงค์ภายในองค์พระเจดีย์หลวง เมืองเชียงใหม่ |
ภาพที่สอง : บันไดทางขึ้นและอุโมงค์ภายในองค์พระเจดีย์หลวง
จากการขุดค้นทางโบราณคดี ได้พบว่า"พระเจดีย์หลวงมีอุโมงค์ทางเข้าที่ด้านหลังของบันไดทั้ง ๔ ทิศ" และอุโมงค์ดังกล่างนี้เป็นช่องทางที่สามารถเดินทะลุเข้าไปภายในองค์เจดีย์ได้ โดยเป็นช่องกว้างขวาง ภายในก่อสลับซับซ้อน"
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าในการขุดค้นภายในอุโมงค์ครั้งนี้สามารถดำเนินการได้เพียงด้านทิศเหนือเท่านั้น ทั้งนี้เพราะว่าสภาพอุโมงค์เดิมนั้นมีร่องรอยของการก่ออิฐปิดและค้ำยันไว้ โดยมีเจตนาเพื่อจะรับน้ำหนักในส่วนบนไว้มิให้พังทลายลงมา ซึงในการเนินการขุดค้นอุโมงค์จึงเป็นเรื่องอันตราย จึงสามารถทำได้เพียงด้านเดียว
แต่ผลทีได้ก็เป็นที่น่าพอใจ ทำให้เราได้ทราบว่า "พระเจดีย์หลวงแต่เดิมนั้นมีอุโมงค์ที่สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นทางขึ้นอยู่ ๔ ด้าน เพื่อที่จะใช้ให้เป็นทางเดินขึ้นไปสู่ลานประทักษิณบนระเบียงด้านบน ซึ่งก็สอดคล้องกับลักษณะของบันไดองค์พระเจดีย์ทั้งสี่ด้านที่จะก่ออิฐฉาบปูนเรียบ ไม่มีขั้นบันได มีเจตนาทำเป็นบันไดนาคประดับเท่านั้น ยกเว้นทางด้านทิศตะวันออกมีร่องรอยได้รับการแก้ไขทำเป็นขั้นบันได ให้ขึ้นไปสู่ระเบียงชั้นบนได้ในภายหลัง"
![]() |
ภาพ : แผนผังแสดงอุโมงค์ภายในองค์พระเจดีย์หลวงจากด้านทิศเหนือ |
ลักษณะของอุโมงค์ เป็นลักษระสถาปัตยกรรมที่ก่อสร้างครั้งรัชกาล"พระเจ้าติโลกราช" ซึ่งได้ร้บอิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรม"แบบพุกาม" มีโบราณสถานที่ได้รับเทคนิคการก่อสร้างที่เป็นอิทธิพลของพุกามอยู่หลายแห่ง เช่น พระเจดีย์เจ็ดยอด วัดเจ็ดยอด และวัดอุโมงคืเถรจันทร์ เป็นต้น
อาจกล่าวได้ว่า"เทคนิคการก่ออิฐวงโค้ง"ซึ่งนิยมใช้ในการก่อสร้างซุ้มประตูและอุโมงค์ ที่สามารถรับน้ำหนักเครื่องบนได้เป็นอย่างดีที่ปรากฏในดินแดนล้านนานั้น เป็น"ความรู้ที่ได้รับมาจากพุกาม"
จากการขุดค้นภายในอุโมงค์จะมีการก่ออิฐอุดช่องอุโมงค์ไว้เป็นระยะๆ ในลักษณะของการค้ำยันเพดานเพื่อรับน้ำหนักไว้ไม่ให้ทรุด เมื่อมีการขุดทะลวงผนังอิฐที่ก่อค้ำยันเป็นระยะๆไป ได้พบว่าอุโมงค์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นอุโมงค์หรือช่องทางเดินเป็น ๒ ชั้น ชั้นล่างจะมีลักษณะกว้างใหญ่ สูงประมาณ ๒ เมตร กว้างประมาณ ๒ เมตรเศษ ทำให้เชื่อว่าช่องทางเดินชั้นล่างนี้สามารถทะลุถึงกันได้โดยรอบทั้งสี่ด้าน
จากอุโมงค์ชั้นล่างจะมีช่องบันไดขึ้นไปสู่อุโมงค์ชั้นที่สอง อุโมงค์ชั้นที่สองนี้จะมีความสูงใกล้เคียงกับชั้นแรก แต่มีความแคบเพียงหนึ่งเมตรเศษเท่านั้น ที่ส่วนปลายช่องอุโมงค์ชั้นบนเฉพาะด้านทิศเหนือที่ได้มีการขุดสำรวจ มีลักษณะเป็นบันไดทอดขึ้นไปสู่ข้างบนได้ แต่ในส่วนปลายถูกก่ออิฐปิดตัน ทำให้ไม่มีช่องทางออกไปสู่ระเบียงชั้นบนขององค์พระธาตุเจดีย์ได้
จากหลักฐานนี้ทำให้เชื่อว่า วัตถุประสงค์แรกของการก่อสร้างพระเจดีย์หลวงในร้ัชกาลของพระเจ้าติโลกราชนั้น คงมีมีการสร้างอุโมงค์เพื่อให้เป็นทางขึ้นสู่ระเบียงหรือลานประทักษิณด้านบน ตามแบบแผนการก่อนสร้างโบราณสถานขนาดใหญ่ใน"อาณาจักรพุกาม"
แต่ความรู้ในทางเทคนิคการก่ออิฐวงโค้ง ที่ทำอุโมงค์ภายใต้ฐานเจดีย์ยังเป็นของใหม่ของช่างชาวล้านนา อีกทั้งรูปทรงของพระเจดีย์มีความแตกต่างไปจากโบราณสถานของพุกาม จึงปรากฏว่าอุโมงค์ที่จะสร้างสำหรับเป็นทางขึันไปสู่ระเบียงนั้น จะมีตำแหน่งอยู่ภายใต้เรือนธาตุขององค์เจดีย์ที่จะก่อสูงขึ้นไป จึงทำให้น้ำหนักอันมหาศาลที่อยู่ด้านบนในระหว่างการก่อสร้างกดทับลงมาจนทำให้อุโมงค์ดังกล่าวรับน้ำหนักไม่ไหว เกิดปัญหาการทรุดตัวและแตกร้าว การที่จะใช้อุโมงค์เป็นทางขึ้นคงทำไม่ได้ เนื่องจากอาจเป็นอันตราย จึงได้มีการก่ออิฐค้ำยันภายในอุโมงค์ไว้เป็นระยะๆ เพื่อป้องกันการทรุดตัว ด้วยเหตุนี้ปลายอุโมงค์ทางขึ้นไปสู่ชั้นบนจึงถูกก่ออิฐปิดตัน รวมทั้งมีการก่ออิฐปิดปากอุโมงค์ที่เชิงบันได
![]() |
ภาพ : บันไดนาคด้านทิศตะวันออก ในสภาพหลังการขุดค้นทางโบราณคดี |
เมื่อทางขึ้นคืออุโมงค์ใช้ไม่ได้ จึงจำเป็นต้องมีการก่ออิฐทำขั้นบันไดทางขึ้นทางบันไดนาคเฉพาะด้านทิศตะวันออกด้านเดียว ส่วนด้านอื่นๆยังคงอยู่ในสภาพเดิมคือก่ออิฐเรียบ ไม่มีขั้นและฉาบปูน ด้วยเหตุนี้เราจึงได้หลักฐานว่า "ที่บันไดนาคด้านตะวันออก อิฐที่ก่อเป็นขั้นบันไดจะก่อทับอยู่บนแนวอิฐที่ก่อเรียบแบบเดิมดังด้านอื่นๆ"
ส่วนกรณีลักษณะซุ้มทางด้านทิศตะวันออกที่มีการปิดทึบช่วงซุ้มตั้งแต่ด้านล่างยันถึงส่วนบน และเปิดเป็นช่้องเล็กๆตรงส่วนฐานด้านล่างไว้ เจ้าหน้าที่กรมศิลปากรผู้รับผิดชอบการบูรณะพระเจดีย์หลวงได้ให้คำอธิบายถึงเหตุผลของการก่ออิฐปิดซุ้มทิศตะวันออกไว้ว่า
"เนื่องจากซุ้มทางทิศตะวันออกนี้เคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตหรือพุทธมหาณีรัตนปฏิมากร จึงปรากฏว่าส่วนฐานชุกชีด้านหน้าจะมีส่วนยื่นออกมา ซึงเชื่อกันว่าเป็นฐานสำหรับประดิษฐานพระแก้วมรกต การก่ออิฐปิดด้านหน้าซุ้มด้านนี้และทำช่องที่มีประตูเปิดปิดนั้น เพื่อเป็นการป้องกันรักษาองค์พระแก้วมรกต ดังนั้นในการบูรณะของกรมศิลปากรจึงจำเป็นต้องก่ออิฐไว้เหมือนเดิม"
แต่ผู้เขียนคืออาจารย์สุรพลเชื่อว่า "เป็นสิ่งที่กระทำขึ้นใจภายหลัง หลังจากที่พระเจดีย์หลวงได้พังทลายลงมาแล้ว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการค้ำยันและรับน้ำหนักของอิฐส่วนที่เหลืออยู่ด้านบน เพื่อมิให้ซุ้มด้านนี้ทลายลงมาอีก แต่การที่เปิดเป็นช่องไว้ก็เนื่องจากภายในซุ้มดังกล่าวมีพระพุทธรูปปูนปั้นประดิษฐานอยู่ จึงเปิดช่องดังกล่าวเพื่อสำหรับการสักการบูเชาด้วย"
"เมื่อได้มีการตรวจสอบที่ผนังของซุ้มจรนัมด้านทิศตะวันออกพบว่าที่ผนังด้านในบางส่วนและส่วนที่ก่ออิฐปิดทับนั้น มีร่องรายการทารักปิดทองสองชั้น หลักฐานดังกว่าแสดงให้เห็นว่าซุ้มจรนัมด้านทิศตะวันออกนี้ จะต้องเปิดกว้างโดยไม่มีอะไรมาปิดอยู่ตลอดเวลา และการก่อปิดซุ้มดังที่เห็นในปัจจุบันเป็นการกระทำภายหลัง หลังจากที่เจดีย์หลวงได้พังทลายลงมาแล้ว"
ดังนั้นการบูรณะพระเจดีย์หลวงโดยคงปิดซุ้มทิศตะวันออกไว้ดังเดิมโดยให้เหตุผลว่าเป็นแบบแผนที่มีมาแต่เดิม และทำไว้เพื่อสำหรับเป็นคูหาประดิษฐานพระแก้วมรกตนั้นจึงเป็น"สิ่งที่ไม่ถูกต้อง" และเป็นการให้ความรู้ที่ผิดๆแก่สาธารณชน
ส่วนสาเหตุที่องค์พระเจดีย์หลวงพังทลายลงมา นอกจากจะเกิดแผ่นดินไหวในปีพ.ศ. ๒๐๘๘ / ค.ศ.1512 ครั้งแผ่นดินพระนางเจ้ามหาเทวีจิรประภาแล้ว อีกสาเหตุหลักคือโครงสร้างภายในขององค์พระเจดีย์หลวงไม่แข็งแรง เนื่องจากมีโพรงหรืออุโมงค์ ซึงมีปัญหาการทรุดร้าวอยู่แล้วมาตั้งแต่แรกสร้ัา่ง อีกทั้งดูเหมือนว่าการพังทลายขององค์พระธาตุเจดีย์หลวงมิได้พังทลายมาแค่ครั้งเดียว แต่ได้พบว่ามีการพังทลายลงมาหลายครั้ง เนื่องจากโครงสร้างภายในไม่มั่นคง
หมายเหตุ : โครงการบูรณะพระเจดีย์หลวง เมืองเชียงใหม่ เกิดขึ้นระหว่างปีพ.ศ.๒๕๓๓ - ๒๕๓๕ / ค.ศ.1990-1992
....ขอให้มีความสุขทุกท่านหลังจากอ่านจบนะจ๊ะ....
ภาพประกอบและคัดลอกข้อมูลจากหนังสือ"แผ่นดินล้านนา"
ผู้เขียน อาจาร์สุรพล ดำริห์กุล คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
สำนักพิมพ์เมืองโบราณ
เวลา 07.30 น.
วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ.2556
ผมเอง...PattyFromTheBlock
คะแนนแรกครับ +1 เป็นอีกบล็อกที่มีบทความคุณภาพมากๆ สู้ๆน่ะครับผม
ตอบลบว่างๆ แวะเยี่ยมชมกันได้น่ะครับ
http://www.thailandblogawards.com/entry/view/417
สามก๊กวิทยา แวะมาเยี่ยมชมและโหวตคะแนนให้ครับ (2)
ตอบลบหากมีโอกาสก็ขอเรียนเชิญไปเยี่ยมกันบ้างนะครับ
http://www.thailandblogawards.com/entry/view/416