๒๐ ก.ค.๒๕๕๒
**เรื่องการเทศน์ของอาตมามีการเลื่อนออกไปอีกหนึ่งวันพระ คือเป็นวันพระแรม ๘ ค่ำ เดือน ๙ แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งจะแจ้งให้ทราบอีกที สำหรับหัวข้อที่เทศน์อาตมาและพระใหม่อีก ๙ รูปต้องเทศน์เป็นไปตามใบลานที่ทางวัดเป็นผู้ให้เลือก สำหรับอาตมาได้หัวข้อ"เตือนตนให้เป็นคนดี"โดยมีเวลาเทศน์ไม่เกิน ๓๐ นาที แน่นอนต้องมีการซ้อมวิธีการเทศน์ก่อนกับพระอาจารย์นัฐเเพื่อความถูกต้อง ตอนนี้อาตมาก็เริ่มอ่านบ้างแล้ว ทำความเข้าใจในเนื้อหาทั้งหมดแล้วจะสรุปออกมาเพื่อเป็นการเข้าใจสำหรับญาติโยมที่มาถวายเพลวันนั้นและง่ายสำหรับตัวอาตมาเองด้วย ยังไงถ้าโยมๆว่างก็แวะมาฟังหน่่อยน่ะ! โอกาสอย่างนี้อาจจะมีเพียงครั้งเดียวในชีวิต!
**ที่อาตมาเคยกล่าวถึงการปริสวาสกรรมนั้นเป็นวิธีการล้างกรรมของพระ โดยทั่วไปกรรมก็มีกันอยู่ทุกคน แต่กรรมขณะที่บวชจะแยกกับกรรมที่เป็นฆราวาส เพราะในขณะที่บวชเป็นพระอาจทำผิดวินัยสงฆ์โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตามจำเป็นที่จะต้องล้างกรรมนั้นออกไปก่อนที่จะสึก โดยใช้ระยะเวลา ๑๐ วัน หลังจากนั้นจึงบาสิกขาบทได้ มิฉะนั้นกรรมต่างๆที่เราได้กระทำไปตอนเป็นพระจะคิดตัวออกมาด้วยทำให้การคิดจะทำการใดหรือทำสิ่งใดอยู่จะติดขัด ไม่ราบรื่น มีอุปสรรคต่างๆนาๆ อีกนิดน่ะโยม! วินัยหรือกฏหมายสงฆ์หรือศีลมีีทั้งหมด ๒๒๗ ข้อ แบ่งเป็น ๓ ระดับคือหนัก กลาง และเบา ในระดับกลางมีทั้งหมด ๑๓ ข้อถ้าทำผิดเข้าข้อใดข้อหนึ่งต้องไปเข้าปริวาสกรรม แต่ถึงไม่ผิดก็ต้องเข้าเช่นกันเพื่อเป็นการล้างตัวเองให้สะอาด ผลของกรรมนี้ต่อตัวพระที่ไม่สึกก็มีผลเหมือนกัน! สำหรับญาติโยมทั้งหลายถ้าอยากปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไม่ต้องยึด ๒๒๗ ข้อเหมือนพระหรอก พระอาจารย์สมบัติบอกว่าแค่ศีล๕ ก็ดีที่สุดแล้ว! ในตัวศีล๕ ในข้อที่๕ว่าด้วยสุรา ของมึนเมาสำคัญที่สุดเพราะสามารถเป็นต้นเหตุให้ทำความผิดในข้อที่เหลือได้!
**ในการเดินบิณฑบาตรของพระต้องมีการสำรวมกายและใจ สายตาต้องไม่ว่อกแว่ก ไม่มองซ้ายทีขวาที ไม่มองไปเรื่อยเปือย แม้กระทั่งตอนที่โยมใส่บาตรหมายความว่าสายตาเราต้องมีสมาธิอยู่ที่บาตรของเราเอง ไม่มองบาตรและของที่โยมใส่พระรูปอื่นที่เดินร่วมด้วยกับเรา ทำไม? เพราะอาหารอาจจะไม่เหมือนกัน หรือทำไมรูปนั้นได้ปัจจัย ทำไมเราไม่ได้ ทำให้เกิดความไม่สบายใจ เกิดอคติ เกิดความไม่ชอบ
**เรื่องการเดินบิณฑบาตรเท้าเปล่าก็เช่นกัน จุดประสงค์คือให้ใส่ใจ สนใจ และมีสมาธิในการเดิน ตามองพื้นตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นอาจจะไปเหยียบเศษแก้ว ก้อนหิน เหยียบขี้หมา และอีกสารพัดได้ ถ้าใส่รองเท้าทำให้สบายมากเกินไป ขาดความระวัง!
**เรื่องการโกนคิ้วของพระในประเทศไทยสืบเนื่องมาจากสงครามในสมัยโบราณน่าจะสมัยอยุธยาหรือสมัยรัตนโกสินทร์ คือพม่าปลอมตัวเป็นพระเจ้าเข้ามาทำศึกทำให้แยกแยะลำบากว่ารูปไหนพระไทย รูปไหนพระปลอมพม่า ดังนั้นการโกนคิ้วจึงเป็นวิธีแก้ปัญหานั้นเอง! แล้วก็มีผลสืบเนื่องถึงปัจจุบัน
**อีกสักเรื่องน่ะ! การนับพุทธศักราชในประเทศไทยเราเริ่มนับเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วหนึ่งปีจึงเร่ิมเป็นพ.ศ.๑ แต่ที่พม่าและศรีลังกาเริ่มนับทัทีที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ผลก็คือพม่าและศรีลังกาาจะเร็วกว่าเราหนึ่งปี คือปีนี้เรา ๒๕๕๒ แต่ที่พม่าและศรีลังกา ๒๕๕๓
**พระรับเงินก็ผิดวินัย! พระอุ้มหรือจับเนื้อต้องตัวเด็กผู้หญิงถึงแม้ว่าจะเป็นหลานก็ผิดวินัย ข้อนี้หมายถึงตั้งแต่เด็กทารกแรกเกิดจนถึงสักอายุสามสี่ขวบ...ประมาณว่ากำลังน่ารักน่าชัง ผิดน่ะโยม! แต่ถ้าเปลี่ยนจากเด็กเป็นสีกาโทษก็จะแรงตามไปด้วย
พระที่เป็นตุ๊ด เป็นแต๋วบวชไม่ได้น่ะ! แต่อาจจะแอ๊บแมนตอนบวช พอบวชเป็นพระแล้วค่อยๆเผยตัวออกมา อันนี้วัดไม่สามารถจับสึกได้เพราะไม่เข้าข้อหาปาราชิกสี่คือเสพเมถุน ลักขโมย ฆ่าคนตาย และอวดอุตตริมนุษยธรรม แต่ไปผิดในวินัยข้ออื่นๆแทน
การถวายอาหารพระหลังเพลทำให้พระผิดวินัยแต่พระไม่สามารถจะปฏิเสธได!้ เพราะในชุดสังฆทานจะมีพวกอาหารแห้งอยู่ถ้าถวายพระไปก็เรียบร้อยผิดวินัยทันที!อันที่จริงโยมไม่ต้องซื้อมาทั้งถังหรอก ซื้อบางอย่างที่พระจำเป็นต้องใช้ก็เพียงพอแล้ว อาทิ ของใช้จำเป็นต่างๆ ของใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นต้น บอกไปอย่างนี้อาตมาก็ผิดวินัยอีกเหมือนกัน แตข้อที่ผิดวินัยดังกล่าวข้างต้นสามารถปลงอาบัติได้ไม่ร้ายแรง สิ่งที่ร้ายแรงรองจากปาราชิกสี่มีทั้งหมด ๑๓ ข้อ จะเล่าให้ฟังวันหลังน่ะ!
**สำหรับวัดที่อาตมาบวชเป็นมหานิกาย ไม่ใช่ธรรมยุต เพราะถ้าเป็นธรรมยุตจะมีความเคร่งครัดมากขนาดว่าไม่สามารถจับเงินได้!
**สำหรับจีวรของพระนั้นสามารถใช้สีอะไรก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่สีที่ฉูดฉาด เช่น สีแดง เป็นต้น เพราะฉะนั้นเวลาโยมเดินทางแล้วพบเห็นพระห่มผ้าในสีต่างๆจะได้เข้าใจ สำหรับสีของวัดที่อาตมาจำพรรษาเรียกว่าสีราชนิยม
เจริญพร ๒๒.๕๒ น.
ิ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น