๑๒ ก.ค. ๒๕๕๒
**ในที่สุดวันนี้อาตมาก็ได้จำวัดรูปเดียวในห้องนวกะเบอร์สี่ ชั้นสี่ ชั้นบนสุดของตึกวิปัสนา หลังจากที่อยู่ร่วมกับพระรูมเมทมาตั้งแต่ก่อนบวชวันที่ ๑ กค. เนื่องด้วยท่านเฟี๊ยตได้สึกออกไปเมื่อเช้าตอนประมาณเก้าโมงกว่าๆ ห้องก็ดูโล่งตาขึ้นพอสมควร อาตมาชอบให้ห้องโล่งๆสบายตาดี เมื่อช่วยท่านเวย้ายห้องเรียบร้อย อาตมาก็ใช้เวลาหลังเพลวันนี้ทำการทำความสะอาดห้อง..กวาดห้อง ถูพื้นห้องเหมือนวันที่เข้ามาอยู่วันแรก รู้สึกถึงความเป็นส่วนตัวมากขึ้น
อาตมาก็ภมูิใจนำเสนอรูปมาด้ววเป็นแบบพานอราม่าวิว! ห้องดูเรียบง่ายไหมโยม? อยู่แบบสบายๆ
**ตั้งแต่วันที่ ๙, ๑๐ และ วันนี้ที่ทางวัดกำหนดให้เรียนวิปัสสนากรรมฐานเป็นเวลาติดต่อกันเจ็ดวัน ณ ขณะที่เขียนเพิ่งจะสรงน้ำเสร็จ แต่ทั้งตัวรู้สึกปวดเมื่อยตั้งแต่ แผ่นหลังทั้งหมด ขา ตาตุ่ม ข้อเท้า นิ้วเท้า ฝึกมาสามวันๆละสามเวลาคือสาย บ่ายและค่ำ ตอนนี้ร่างกายรู้สึกมันตึงไปหมดเลย คงอีกสักพักกว่าที่ร่างกายจะปรับตัวได้ สำหรับการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นมีทั้งการเดินจงกรม(เขียนถูกไหมเนี่ย)และการนั่งสมาธิ โดยแบ่งเป็นอย่างล่ะครึ่งชั่วโมงสลับกันไป นอกจากนี้พระอาจารย์นัฐพงษ์ยังนำเอาเทปธรรมะมาเปิดให้ฟังอีกด้วยในช่วงบ่ายและค่ำหลังการฝึก อยากหายปวดเมื่อยไวๆเพราะอาตมาอยากนั่งสมาธิเต็มทนแล้ว อนึ่งหลังจากเจ็ดวันแห่งการฝึกก็จะเริ่มเรียนหนังสือหลักสูตรนักธรรมตรี สำหรับวิปัสสนานั้นสามารถนำไปฝึกและปฏิบัติด้วยตัวเองต่อไปทั้งก่อนนอนและตอนเช้ามืดตีสามครึ่งหรือตีสี่ก่อนออกบิณทบาตร!
**เล็กๆน้อยเกี่ยวกับพระ ว่าจะเขียนตั้งนานแล้วแต่ลืมนั้นคือเรื่องการปัสสาวะของพระ อาตมาคิดว่าโยมบางท่านอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้ว นั้นคือพระต้องนั่งปัสสาวะ!
อีกเรื่องคือพระต้องสำรวมในการดื่มน้ำ จะมายืนดูดน้ำ กินน้ำแบบฆราวาสไม่ได้ ต้องนั่ง! อาตมาก็กำลังพยายามอยู่เหมือนกัน
ยังมีอีกเรื่องนั้คือเกี่ยวกับเครื่องดื่มหลังเพล จากการสอบถามหลวงพี่ได้คำตอบมาว่า..พระสามารถดื่มน้ำอะไรก็ได้ที่เป็นของเหลวและไม่ต้องเคี้ยว! อันนี้เป็นการปรับให้เข้ากับยุคสมัยน่ะโยม ข้อปฏิบัติแล้วแต่ทางวัดจะกำหนด
๒๒.๒๒ น.
** ๑๕ กค. ๒๕๕๒
ช่วงสามวันที่ผ่านมาเข้าเรียนวิปัสสนากรรมฐาน มันปวดเมื่อยไปทั้งตัว โดยเฉพาะหลังปวดแบบไม่สามารถนั่งได้เลย ปวดแบบเหนือคำบรรยาย กล้ามเนื้อทั้งตัวมันตึงไปหมด มันทรมานอย่างบอกไม่ถูก!
อีกอย่างเมื่อวานตอนเช้ารู้สึกเพลียมากหลังกลับจากบิณฑบาตร ทำวัตรเช้าก็แบบหมดสภาพ เข้าก็ไม่มีสมาธิ..ไหนจะเพลีย ไหนจะปวดเมื่อยไปทั้งตัว แต่หลังจากได้จำวัดก็รู้สึกดีขึ้น สบายตัวแต่ความปวดเมื่อยยังไม่บรรเทา
**วันนี้คือวันที่ ๑๕ เป็นสุดท้ายที่จะเรียนวิปัสสนากรรมฐาน จากเดิมที่กำหนดไว้เจ็ดวันแต่ตอนนี้เหลือเพียงสี่วัน เป็นข่าวดีของพระนวกะที่อาจารย์ประกาศให้ทราบในโบสถถ์เมื่อวาน!พรุ่งนี้วันพระแรมแปดค่ำจะได้มีเวลาพักผ่อน ได้ซักจีวรบ้าง อาตมาใส่มาหลายวันแล้วยังไม่ได้ซักเลยแม้แต่ครั้งเดียวอาศัยแดด อาศัยลมแต่เพียงอย่างเดียว ส่วนสะบงกับอังสะก็ซักสลับไปมา วันนี้ก็เพิ่งซักอังสะไป พรุ่งนี้มีเวลาอาตมาจะซักจีวรแล้วล่ะ ผืนใหญ่ต้องใช้พลังมาก!
**ก่อนเข้ามาอยู่ที่วัดตั้งแต่วันที่๑ กค.
อาตมาชั่งน้ำหนักเก็บเป็นสถิติเอาไว้ ประมาณ ๗๒ กิโลกรัม วันก่อนไปชั่งอีกทีน้ำหนักต่ำสุดที่ลดไปคือ ๖๕ ก.ก. แต่ตอนนี้น้ำหนักทรงอยู่ประมาณ ๖๕ - ๖๘ ก.ก. คิดว่าน้ำหนักคงไม่ลงไปมากกว่า ๖๕ แต่น่าจะอยู่สัก ๖๗ ก.ก. ถือว่าไม่เลวน่ะโยมแค่ประมาณครึ่งเดือนได้ขนาดนี้ หลวงพี่บางรูปร้ำหนักยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในที่สุดสักเดือนรับรองเห็นผลทุกรูปล่ะโยมเอ๋ย! อันนี้เป็นผลจากการฉันอาหารสองมื้อ
**ก่อนเข้าพรรษาการบิณฆบาตรคงเป็นการซ้อมใหญ่( อาตมาคิดเอง) หลังเข้าพรรษาเท่านั้น อาจารย์เล๊กหรือหลวงพี่เล๊กเหมืิอนจะเพิ่มสปีดในการเดิน พอโยมคนแรกถวายอาหารอาตมาเดินแทบไม่ทันจนถึงวัดเห็นแต่จีวรอาจารย์ท่านปลิวไหวๆ กลับมาวิเคราะห์ดูน่าจะเป็นเพราะอาตมาไปเสียเวลาการจัดเก็บและย้ายอาหารจากบาตรไปสู่ย่าม วันนี้ก็ลองสูตรใหม่เน้นเดินตามหลังให้ทัน..ก็ได้ผลน่ะ! แต่เจ้ากรรมฝนเริ่มตกมาพร่ำๆทำให้ถนนเปียก แล้วเดินบิณฑบาตรเท้าเปล่ามันเลื่อนน่ะโยม! เหมือนเดินไม่มีดอกยางถ้าเดินเร็วไปก็จะขาดความระวังอาจลื่นได้ แต่ของอาจารย์เล๊กหรือหลวงพี่เล๊กเหมือนใช้ยาง 4by4 โอ้โฮ้!ไปฉิวๆเลย อาตมาเร่งยังไงก็ไม่ทัน อีกทั้งของก็เยอ่ะเต็มย่าม เต็มบาตร มือซ้ายจับจีวรพร้อมดอกไม้สองกำที่โยมถวายมา มือขวาเดินจับฝาบาตรเพราะเต็มเอี๊ยดเลย! พอมาถึงหลังบ้านญาติโยมก็รอตักบาตร ทำไงดีล่ะ? บางส่วนเปิดบาตรให้โยมวางแล้วอาตมาก็ต้องใช้นิ้วซ้ายที่จับจีวรเกี่ยวเอาอาหารที่อยู่ในถุงมาถือไว้ ที่เหลือต้องให้โยมวางของตักบาตรเอาไว้บนฝาบาตรแทนที่จะเปิดฝาออกมารับ หลังจากโยทแม่ตักบาตรเสร็จไม่นานฝนก็เริ่มเทลงมา! ไม่หนักมากพอเปียก แต่อาตมาชอบน่ะเพราะมันเย็นชื่นกายสบายใจ วันนี้เป็นอีกครั้งที่อาจารย์เล๊กให้โยมที่อยู่ซอยหกขับรถไปส่งที่วัด...ค่อยยังชั่ว!
แต่ก็มีบางวันน่ะที่ต้องเดินหอบหิ้วของกลับวัดเอง อาตมาก็บอกหลวงพี่เดินไปไดเลยไม่ต้องห่วงผม โดนทิ้งสะสามเสาไฟไฟ้า กลับมาถึงวัดอาจารย์บุญเกิดผู้ช่วยเจ้าอาวาสถามอาตมาว่าบิณฑบาตรกลับใคร ก็ตอบท่านไป ท่านคงสงสัยเพราะว่าเสมือนไปรูปเดียว! ของก็พะรุงพะรัง...
เหตุผลที่ต้องรีบเดินอาจารย์เล๊กบอกว่า" เดี๋ยวจะโดนพระรูปอื่นบิณทบาตรตัดหน้า! จะได้ของน้อย" สงสัยต้องใส่สะเก๊ตล่ะมั้งถึงจะได้เดิสทันอาจารย์เล็ก
นินทางอย่างนี้คงต้องปลงอาบัติสะแล้วอาตมา!
**ร่องรอยจากการห้อยสายบิณฑบาตรทุกๆทุกวัน ตอนนี้ที่ต้นคอสามารถเห็นรอยได้ชัด! แล้วจะถ่ายรูปให้ดูน่ะ
เสียงระฆังวัดดังบอกเวลาอีกแล้วหมายความว่าได้เวลาเข้าเรียนรอบบ่ายแล้วโยม
เจริญพร! ๑๒.๕๕ น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น