ข้าวขาวดอกมะลิ 105

**อ่านเจอเรื่องข้าวหอมมะลิก็เลยหยิบมาเล่าให้ฟัง น่าสนใจดี เรื่องเล็กๆที่เราอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวข้าวหอมมะลิ**

ในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีการทำสนธสัญญาเบาวร์ริงกับประเทศอังกฤษ ซึ่งมีความสำคัญเรื่องการค้าข้าวเพื่อเปิดประเทศไปสู่การค้าเสรี ทำให้รัฐบาลสยามอนุญาตให้มีการ"ส่งออกข้าว"เป็นสินค้าออกได้ 

ดังนั้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมาจึงมีการหักร้างถางพงป่าเขาจำนวนมาก เพื่อขยายพื้นที่ในการเพาะปลูกข้าวโดยเฉพาะที่ราบภาคกลางจะมีการเพิ่มผลผลิตข้าว

ส่วนในเขตพื้นที่อีสาน การขยายพื้นที่ปลูกข้าวยังมีน้อย ชาวนาในท้องถิ่นจะปลูกข้าวเพียงไว้บริโภคภายในครอบครัวเท่านั้น ไม่ได้ผลิตปริมาณมากเพื่อขาย จนกระทั่งเส้นทางรถไฟได้ขยายเข้ามาในภาคอีสาน จึังมีผลต่อความเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจภาคอีสานเป็นอย่างยิ่งรวมทั้งในเขตอีสานใต้



ตอนนี้ขอกระโดดมาพูดถึง"ข้าวหอมมะลิ 105" ของจังหวัดสุรินทร์ ว่ามีทีมาอย่างไร?

ข้าวหอมดอกมะลิเป็นพันธุ์ข้าวเจ้าชื่อเดิมว่า"ข้าวขาวดอกมะลิ 105" แต่จากการที่มีกลิ่นหอมหลังจากเก็บเกี่ยวใหม่ จึงได้ชื่อว่า "ข้าวหอมมะลิ 105" ซึ่งพันธุ์ข้าวหอมมะลิเกิดจาก.....

พนักงานข้าว อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ชื่อนายสุนทร สีหะเนิน ได้ทำการนำรวงข้าวที่เก็บพันธุ์จากที่ต่างๆ จำนวน 199 รวงไปทดลองปลูกเปรียบเทียบเพื่อคัดเลือกพันธุ์บริสุทธิ์เมือปีพ.ศ.๒๔๙๓ - ๒๔๙๔ และนำพันธุ์ที่มีลักษณะดีออกเผยแพร่ซึงพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิคือ "พันธุ์ข้าวที่ปลูกอยู่ในแถวหรือรวงที่ 105" จากจำนวน 199 รวง
แต่กว่าพันธุ์ข้าวหอมมะลิจะปลูกกันอย่างแพร่หลายในภูมิภาคอีสานก็ใช้เวลากว่า 30 ปี คือตั้งแต่ปีพ.ศ.2502 - 2536

ต่อมาในปีพ.ศ. 2522 ประเทศไทยสามารถส่งออกข้าวหอมมะลิไปขายตลาดต่างประเทศเป็นครั้งแรก โดยเป็นคู่แข่งของตลาด "ข้าวบัสมาติ" ของอินเดีย

สรุปปิดท้ายข้าวหอมมะลิจะมีคุณภาพแตกต่างกันตามพื้นที่ หากเป็นข้าว"หอมมะลิชั้นเลิศ" ต้องเป็นข้าวหอมมะลิที่ปลูกที่ทุ่งกุลาเพราะพื้นที่เหมาะสมและมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับพันธุ์ข้าวคือ ดิน น้ำ แสงแดด ธาตุอาหาร และความชื้น

หมายเหตุ :
1.พันธุ์ข้าวที่ชาวนาปลูกส่วนใหญ๋จะเป็นพันธุ์พื้นเมืองและอาจะมีพันธุ์ที่เกิดจากลูกผสมที่เรียกว่า กข1 , กข2 , กข3... ซึงความหมายของตัวเลขคือ
เลขคี่กำหนดให้เป็น"ข้าวเจ้า"
เลขคู่กำหนดให้เป็น"ข้าวเหนียว"

2.รถไฟสายแรกของสยามประเทศคือ"กรุงเทพ - นคราราชสีมา"ในปีพ.ศ.24443/ค.ศ.1900 สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๕ และเริ่มสร้างต่อในสมัยรัชกาลที่ ๖ จนถึงจังหวัดอุบลราชธานี วันที่ 1 เมษายน พ.ศ.24732/ค.ศ.1930

ขอบคุณข้อมูลจาก
รองศาสตราจารย์ศิริพร สุเมธรัตน์ "ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสุรินทร์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น