บันทึกฐานยุตโต : ว่าด้วยเรื่องศีลหรือวินัยของสงฆ์ตอนจบ

วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒
เจริญพร
ฉบับที่แล้วอาตมาได้เกริ่นเอาไว้นิดหน่อยเกี่ยวกับพระวินัย ๒๒๗ ข้อประกอบด้วยอะไรบ้าง มาถึงฉบับนี้ก็จะมาลงรายละเอียดกันสักหน่อยพอที่โยมจะเข้าใจได้ไม่ยากแต่คงไม่ละเอียดมากหรอกนะเดี๋ยวจะงงมากกว่าจะเข้าใจ
พระวินัยเป็นระเบียบแบบแผนที่พระพุทธเจ้าได้ตั้งขึ้นมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เพื่อบริหารหมู่สาวกให้ประพฤติดีงามและมีความประพฤติลงรอยเดียวกัน บทพระบัญญัติในพระวินัยนั้นไม่ได้ทรงวางเอาไว้ล่วงหน้าคือเมื่อมีเหตุเกิดขึ้นมาก่อนจึงได้ทรงตั้งพระบัญญัติขึ้นมาเรียกว่าต้นพระบัญญัติ ต่อมาเมื่อพระบัญญัติที่ตั้งไว้ไม่เป็นไปโดยสะดวก ก็ไม่ทรงถอนแต่ทรงดัดแปลงตั้งเพิ่มเติมภายหลัง เรียกว่า “อนุบัญญัติ”
เพราะฉะนั้นเมื่อพระภิกษุรูปใดทำผิดกฏหรือล่วงละเมิดข้อพระบัญญัติเราเรียกว่า “ อาบัติ” โดยอาบัติมีโทษด้วยกัน ๓ สถานคือ
๑. อย่างหนัก ต้องให้ขาดจากความเป็นภิกษุ ( ปาราชิก ๔ )
๒. อย่างกลาง ต้องให้อยู่กรรมหรือที่เรียกว่าปริสวาสกรรม ( สังฆาทิเสส ๑๓ )
๓. อย่างเบา ต้องให้ประจานตนต่อหน้าภิกษุด้วยกัน ( ที่เหลือทั้งหมดของพระบัญญัติ )
ต่อไปอาตมาก็จะขอกล่าวพอสังเขปไปที่ละหัวข้อนะโยมโดยขอเริ่มต้นก่อนที่ปาราชิก ๔ หมายถึง อาบัติหนักที่ภิกษุเมื่อละเมิดต้องขาดจากความเป็นภิกษุไปทันทีหรือง่ายๆคือต้องสึกทันที เป็นอาบัติที่ไม่สามารถแก้ไขได้ประกอบด้วยเสพเมถุนในมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉาน , ลักขโมยสิ่งของที่มีมุลค่า ๑ บาทขึ้นไป , เจตนาฆ่ามนุษย์ให้ตาย และอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตัวตน
สังฆาทิเสส ๑๓ เป็นอาบัติอย่างกลาง ที่ภิกษุสามารถปลงอาบัติได้ด้วยการอยู่กรรม ๖ ราตรี ประกอบด้วยมีเจตนาทำให้น้ำอสุจิเคลื่อน , มีเจตนาจับต้องกายหญิงด้วยความกำหนัด , มีความกำหนัดอยู่ พุดเกี้ยวหญิงพาดพิงถึงเมถุน,มีความกำหนัดพูดล่อหญิงให้บำเรอกาม, ชักสื่อให้ชายหญิงเป็นผัวเมีย, มีความพากเพียรเพื่อจะทำลายสงฆ์ให้แตกแยก , ภิกษุว่ายากสอนยาก ภิกษุอื่นห้ามไม่ฟัง , ภิกษุประจบคฤหัสถ์ ยอมให้เขาใช้สอย เป็นต้น
อนิยต ๒ คำว่า “ อนิยต” แปลว่าไม่แน่นอน เป็นชื่ออาบัติที่ตั้งไว้ลอยๆ ระหว่าง อาบัติปาราชิก สังฆาทิเสส และปาจิตตีย์ อย่างใดอย่างหนึ่ง มีสองข้อคือ
- ภิกษุนั่งในที่ลับตากับหญิงสองต่อสอง สามารถอาบัติเป็นปาราชิก หรือ สังฆาทิเสาส หรือ ปาจิตตีย์
- ภิกษุนั่งในที่ลับหูกับหญิงสองต่อสอง สามารถปรับอาบัติเป็นสังฆาทิเสส หรือ ปาจิตตีย์
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ แปลว่า ต้องอาบัติปาจิตตีย์ด้วยสิ่งของอันจะต้องสละเสีย หมายถึงสิ่งของนั้นเป็นของที่ต้องสละประกอบด้วย ผ้าไตรจีวร อาสนะ บาตรและผ้าอาบน้ำฝน มีทั้งหมด ๓๐ ข้อ
ปาจิตตีย์ ๙๒ หมายถึง การละเมิดที่ทำให้กุศลตกไปหรือทำความดีให้เสียไป มีทั้งหมด ๙๒ ข้อ
เสขิยวัตร ๗๕ หมายถึง วัตรปฏิบัติที่ภิกษุพึงศึกษาหรือฝึกฝนปฏิบัติตาม เพื่อความเป็นผู้มีอาจาระอันงาม เป็นที่น่าเลื่อมใสแก่ผู้พบเห็น ได้แก่หมวดวัตรปฏิบัติเกี่ยวกับความประพฤติในเวลาเข้าบ้าน หมวดเกี่ยวกับการรับบิณฑบาตและฉันอาหาร หมวดเกี่ยวกับการแสดงธรรม และหมวดวัตรปฏิบัติเล็กๆน้อยๆที่เหลือ ทั้งหมด ๗๕ ข้อ
ลำดับสุดท้ายคืออธิกรณ์สมถะ หมายถึงธรรมเป็นเครื่องระงับอธิกรณ์ หรือ วิธีการดำเนินการเพื่อระงับอธิกรณ์ที่เกิดขึ้นให้สำเร็จลงอย่างเรียบร้อยด้วยดีมี ๗ อย่าง อนึ่งอธิกรณ์หมายถึงคดีของสงฆ์ด้วยกันเอง
จากทั้งหมด ๒๒๗ ข้อ หัวข้อสังฆาทิเสสทั้ง ๑๓ ข้อ เป็นสิ่งที่พึงระวังมากที่สุดเพราะเป็นสิ่งที่พระนวกะมีโอกาสมากที่จะละเมิดพระบัญญัติหรืออาบัติ รองลงมือคือปาราชิก ๔
ถึงตรงนี้อาตมาขอเพิ่มเติมอีกนิดเกี่ยวกับอันตรายของภิกษุสามเณรผุ้บวชใหม่ ๔ ข้อคือ อดทนต่อคำสั่งสอนไม่ได้ เบื่อต่อคำตักเตือน , เห็นแก่ปากแก่ท้อง อดทนต่อความอยากไม่ได้ , เพลิดเพลินในกามคุณ และรักผู้หญิง
ฉบับหน้าอาตมาจะเขียนเรื่องอะไรค่อยมาติดตามอ่านกันต่อไปนะโยม สำหรับผู้ที่ต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับศีล ๒๒๗ อาตมายินดีที่จะตอบ
สาธุ
๒๐.๕๗ นวกะห้องเบอร์สี่ วัดสุวรรณประสิทธิ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น